วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"พาวเวอร์ แพท” เผยชีวิตหลังกรงขัง กับสำนึกลูกผู้ชาย ที่จะไม่มีวันทำผิดซ้ำสอง













“แพท พาวเวอร์แพท” เสียใจ ศาลอุทธรณ์ไม่ลดโทษ ต้องติดคุก 50 ปี เท่าเดิม บอกไม่ท้อ เตรียมยื่นฎีกาขอลดโทษแล้ว เปิดใจกว่า 4 ปีที่ถูกจองจำ ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตจนแตกฉาน ยกเป็นมหา’ลัยชีวิต เผย กำลังจะจบป.ตรี จาก มสธ.เดือน ต.ค.นี้ ตัดพ้อ แอบรันทดตัวเองที่ทำได้แค่บอกรักพ่อผ่านกรงขัง ไม่มีสิทธิกอดแสดงความรัก เจ้าตัวตั้งปณิธานจะทำความดี บอกติดคุกครั้งเดียวก็เกินพอ พร้อมเชื่อมั่นว่าคงไม่จบชีวิตในคุกอย่างแน่นอน



คงยังจำกันได้สำหรับข่าวคราวของ “พาวเวอร์ แพท” หรือ “แพท วรยศ บุญทองนุ่ม” อดีตนักร้องอนาคตไกลค่ายแกรมมี่ หลังจากที่เจ้าตัวโดนตำรวจจับกุมในข้อหา “ค้ายาเสพติด” เมื่อช่วงกลางปี ’47 ที่ผ่านมา จนถูกศาลตัดสินสั่งจำคุก 50 ปี ปรับเป็นเงินอีก 1 ล้านบาท และถูกนำไปจองจำไว้ที่เรือนจำบางขวาง จ.นนทบุรี เวลาผ่านไปกว่า 4 ปี ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ตามที่ทนายได้มีการยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษไปนั้น ศาลได้มีคำตัดสินออกมาแล้ว โดยให้ยืนตามศาลชั้นต้น นั่นหมายความว่า โทษของแพทยังสูงที่ 50 ปีเท่าเดิม



ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จากการที่ทีมข่าว “บันเทิงผู้จัดการ” ได้ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแพทมาตลอด และก็มีหลายครั้งที่เราได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมและพูดคุยกับแพท โดยในครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากทราบข่าวทีมข่าวได้ติดต่อไปยังคุณพ่อ “นิวัติ บุญทองนุ่ม” เพื่อขอเข้าเยี่ยมแพทที่เรือนจำ เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นอยู่ทั่วไป ซึ่งคุณพ่อก็อนุญาตและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และต้องบอกว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่คือ นักโทษที่ติดคุกมานานหลายปี เพราะสภาพร่างกาย รวมไปถึงรูปร่างหน้าตานั้นดูแข็งแรงแจ่มใส หน้าตาสะอาดสะอ้านผิดจากภาพนักโทษที่คิดไว้ถนัดตา เหนือสิ่งอื่นใดแพทมีกำลังใจดีมาก ดูเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก โดยแพทบอกว่า สภาพจิตใจดีขึ้น เพราะปรับตัวได้แล้ว การได้มาอยู่ข้างใน ถ้าคิดในมุมดีมันก็ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตหลากหลายแง่มุม แถมยังได้เรียนหนังสืออีกด้วย ส่วนในเรื่องของคดีเจ้าตัวยอมรับว่า รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ลดโทษเลยแม้แต่ปีเดียว “คำตัดสินก็ยืนตามศาลชั้นต้น คือ 50 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ก็เสียใจนิดหน่อย แต่ทำใจไว้แล้ว เพียงแต่เราแอบมีความหวัง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ก็ต้องปล่อยชีวิตตามที่มันจะเป็นไป ตอนนี้ยื่นฎีกาขอลดโทษไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะไม่มีระยะเวลาแน่นอนตายตัว อย่างเพื่อนผมบางคนรอแค่ปีเดียว บางคน 3 ปี มันไม่แน่ครับ ตอนนี้ผมก็ศึกษากฎหมายในการส่งสำนวนฟ้องอยู่ ที่โทษสูงเพราะเค้าแยกฟ้อง ทั้งของที่มีอยู่บนห้อง และที่จับคามือข้างล่าง มันต่างกรรมต่างวาระ ไม่ได้ฟ้องชุดเดียวกัน โทษก็เลยถีบกันไปสองเท่า มันก็เลยลำบากหน่อย ทนายเป็นคนจัดการ คือ เอาข้อเท็จจริงมาแย้งให้ศาลเห็นข้อเท็จจริง มันมีอยู่หลายจุดที่คำให้การของเราไม่มีน้ำหนัก ทนายจะเอาตรงนั้นมาตีความแล้วส่งฟ้อง มันเป็นการกระทำผิดครั้งแรกด้วย แต่มันไม่ใช่อาชีพผม...”



“เรื่องคดีพยายามไม่คิด เพราะถ้าคิดไปก็หาบทสรุปเองไม่ได้ เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ปล่อยให้มันเป็นไปตามขั้นตอนที่มันจะเป็น พยายามตัดเรื่องข้างนอกให้หมด และทำเวลาที่อยู่ข้างในให้ดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุดดีกว่า อย่างเรียน งานดนตรี ซ้อมกีตาร์ ผมพยายามจะศึกษาให้มากกว่าตอนก่อนเข้ามา ตอนนี้ก็ติดต่อกับเพื่อนที่เคยเล่นกีตาร์ด้วยกัน ให้เค้าหาสื่อการสอนมาให้ เอาไว้สอนเพื่อนๆ ในนี้ นี่ก็เพิ่งมีเพื่อนใหม่มาให้สอนเพิ่มอีกหนึ่งคน ไม่รู้จะถอดใจก่อนรึเปล่า เพราะส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น มันยาก ต้องมุ่งมั่นและตั้งใจฝึกฝนจริงๆ”



“ผมใช้เวลาอยู่กับกีตาร์วันละ 5-7 ชั่วโมง ถ้าอนุญาตให้เอาขึ้นไปห้องนอนได้ ผมคงซ้อมเยอะกว่านี้ (ยิ้ม) รู้สึกว่าตัวเองกลับมาไฟแรงเหมือนตอนอายุ 14-15 แต่ไม่ได้หวังสูงขนาดที่ว่าต้องเป็นเกจินะครับ แค่อยากจะเป็นนักดนตรีที่สามารถถ่ายทอดให้ตรงจุด เพื่อให้คนที่ฟังเราเล่นยอมรับว่า เราเล่นกีตาร์ได้ดี ผมหวังตรงนี้มากกว่า จริงๆ ผมรักการเล่นดนตรีมากกว่าการร้องตั้งแต่ก่อนเป็นนักร้อง เพราะอยู่กับการเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 15 รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่กับดนตรีกับศิลปะ มันทำให้ผมมีชีวิตในนี้อย่างไม่เครียด เวลาที่เล่นดนตรีมันทำให้ลืมความทุกข์ ลืมความท้อแท้ในโชคชะตาที่เราเป็นอยู่”



“กำลังใจส่วนใหญ่มาจากตัวเองก่อน ต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อน รองลงมาคือครอบครัว พี่ๆ เพื่อนๆ ผมมีความเชื่ออยู่ว่าจะอยู่ในนี้ไม่นาน มันคงเป็นเพียงช่วงชีวิตนึงที่ต้องเข้ามาอยู่ในนี้ ให้ผมได้ศึกษาเรียนรู้ชีวิตเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของตัวเอง พยายามมองว่าเป็นโอกาสที่ดี สอนวิธีคิด ทำให้ได้เรียนหนังสือ ได้ความรู้ได้ฝึกวาดรูปได้ซ้อมดนตรีจริงๆ จังๆ เพราะคิดอีกมุมถ้าอยู่ข้างนอกผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ก็ได้”



“ได้ในเรื่องการปรับตัว ได้เรียนรู้คนหลากหลายสถานะ แตกต่างที่มา หลายสังคม ได้เรียนรู้จากผู้คนข้างใน ทำให้ผมมองชีวิตแตกฉานขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญได้เล่นดนตรี เพราะถ้าอยู่ข้างนอกคงไม่มีเวลามากขนาดนี้ พยายามมองเรื่องทั้งหมดเป็นโอกาส อยู่ในนี้มา 4 ปีกว่า ไม่ได้อยู่อย่างทุรนทุราย ไม่ได้รู้สึกว่ามันยาวนาน กลับรู้สึกว่าวันๆ มันสั้นไปด้วยซ้ำ เพราะมีกิจกรรมให้ทำเยอะ วันๆ ไม่ได้ผ่านไปแบบทรมาน ตอนนี้ชีวิตโอเค สบายดี แต่ไม่ต้องเข้ามานะ (หัวเราะ)”



----





“ผมกำลังจะจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกสารสนเทศศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เหลือเก็บอีกตัวเดียว เดือนตุลาฯก็จบแล้ว เลือกเรียนด้านนี้ เพราะสนใจ เนื้อหาจะเกี่ยวกับข้อมูลการสื่อสารคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้ว เหตุผลที่เลือกเพราะไม่ค่อยมีคนเรียนด้วย มีคนเรียนน้อยมาก ในแดนผมมีผมเรียนอยู่คนเดียว ส่วนมากเค้าจะเรียนนิเทศฯ นิติศาสตร์ กันมากกว่า ผลสอบถือว่าดี เพราะอ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบแล้วถือว่าน้อยกว่าคนอื่น เพราะไปให้เวลากับการซ้อมดนตรี กับการแต่งเพลงซะมาก”






“ผมคิดตลอดว่า ออกไปต้องดีกว่าตอนก่อนเข้ามา ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะโดนกดดันจากสังคมภายนอกเยอะ ที่เค้ามองเราด้านลบ เข้ามาอยู่ในนี้แล้วชีวิตต้องตกต่ำลง มันทำให้ผมอยากพิสูจน์ตัวเอง ว่า คนเราสามารถกลับตัวกลับใจได้ ผมไม่ใช่คนเลว แต่จังหวะชีวิตมันพาไป เมื่อก่อนผมเข้าใจชีวิตน้อยกว่าตอนนี้ เช่นเรื่องบุญคุณ การที่มีคนมาหวังดีกับเรา แต่เขาอาจจะไม่บริสุทธิ์ใจเสมอไป โดยอาศัยจุดอ่อนของเรา ที่เราคิดว่ามันเป็นบุญคุณ อย่างคดีก็เหมือนกัน เป็นเพราะเขาเคยช่วยเรา มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิตครับ”





ต้องสกัดกั้นอารมณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ที่ถึงแม้แพทจะยังอยู่ในวัยที่ยังคงโหยหาเรื่องนี้อยู่ แต่ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่เป็นอยู่ทำให้แพทต้องตัดใจจากเรื่องนี้ให้ได้ เผยไปเผลอใจรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แต่ต้องเจ็บปวดเพราะความเป็นไปไม่ได้





“แฟนเก่า (คนที่ถูกตำรวจจับกุมในคดีเดียวกัน แต่ศาลยกฟ้องไปแล้ว) เค้าก็เคยมาเยี่ยม แต่ผมไม่อยากให้เค้ามาอีก และไม่ได้คบหากันมานานแล้ว เลิกกันตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมเป็นคนเอ่ยปากบอกเค้าเอง ว่าอย่ามาเลย เค้าก็คงเสียใจอาจจะร้องไห้ มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ผมต้องตัด ความคิดจากตัวเองด้วย จากครอบครัวด้วยเพียงแต่เค้าไม่ได้ขอ ไม่เชิงขอ แต่รู้ว่าหลายคนไม่สบายใจ อีกอย่างคือเราไม่ได้มีใจให้กันแล้วด้วย จริงๆ เค้าพยายามติดต่อเรา แต่ผมต้องใจแข็ง ไม่อย่างนั้นจะคาราคาซัง กลัวจะมีปัญหาตามมา ช่วงเวลาที่ผ่านมามันทำให้ได้นั่งทบทวนว่า มันคือความรักหรือเปล่า อาจจะเป็นความผูกพัน ที่เคยช่วยเหลือห่วงใยกัน แต่ถ้าเค้ารู้ว่าผมคิดแบบนี้คงเสียใจมาก เพียงแต่ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องเจ็บปวดอีก” “ด้วยสถานะภาพที่เป็นอยู่ ทุกอย่างต้องอยู่บนความเป็นจริง ถามว่าเรื่องความรักเป็นอีกเรื่องที่ต้องควบคุมมั้ย มันก็ใช่ อยู่ข้างในเราทำอะไรไม่ได้ ถึงรักใครเราก็ดูแลเค้าก็ไม่ได้ และเป็นไปได้ยาก ...ตอนนี้จริงๆ ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้กับน้องคนนึง เค้าเป็นเพื่อนของรุ่นน้อง มาเยี่ยมและได้พูดคุยกันแล้วรู้สึกว่าใช่ เค้ามาเติมความสดใสให้เราสดชื่น และไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้ว นี่แหละใช่ แต่ก็รู้สึกว่ามันสายไปหรือเปล่า ทำไมถึงต้องมาเกิดตอนที่เราอยู่ในนี้ แต่ผมไม่ได้หวังให้เค้ามารักตอบ เพราะมันยากมาก เพียงแต่ไม่อยากเก็บกดความรู้สึกตัวเองเอาไว้ ก็เลยบอกออกไป ซึ่งน้องเค้าก็งง...”





“ผมรู้สึกดีกับเค้า ซึ่งเขาก็รู้สึกดีที่ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่ในใจเค้าจะรู้สึกยังไงผมไม่รู้ เพราะไม่อยากถาม ไม่อยากรู้คำตอบเท่าไหร่ เพราะกลัวคำตอบด้วย มันเป็นความรักที่ไม่ใช่อยากเป็นเจ้าของครอบครอง อยากเห็นเค้ามีความสุข ถ้าเค้ามีแฟนเราก็ยินดีด้วย เป็นความรักที่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง อันนี้คือสิ่งนึงที่ผมเรียนรู้ได้จากเรือนจำ ต้องอดทนไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้ใจกว้างขึ้นมีเหตุมีผล ไม่อยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเหมือนความรักสมัยวัยรุ่น มีปวดใจเป็นบางครั้งที่เขาไม่ค่อยสนใจเรา (ยิ้ม) แต่ทุกวันนี้ไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว เพราะพ่อจะด่าตลอด บอกติดอยู่ในนี้ก็เจ็บช้ำพอแล้ว คือพ่อไม่เข้าใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรแบบตอนเด็กๆ เราก็แค่อยากมีสักคนที่เขียนจดหมายมาหาทุกอาทิตย์ แค่มีคนคิดถึงให้กำลังใจก็แค่นั้นเอง กับเรื่องความรักผมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว”





“แอบเศร้ามันก็มีบ้างเหมือนกัน รู้สึกน่าเสียดายที่ได้เจอเค้าตอนที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเกิดเราไม่ได้มาอยู่ในนี้ ก็อาจจะไม่ได้เจอกันและไม่ได้มองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวเค้าก็ได้ การสะกัดกั้นความรู้สึกมันยากมาก เพราะต้องตัดความเห็นแก่ตัวออกไป ตัดความเห็นแก่ตัวที่ว่ารักแต่ไม่ครอบครอง ถ้าไม่รู้จักแยกแยะ มันจะย้อนมาทำลายเราได้ พ่อรู้ด่าเลย หาเรื่องอีกแล้ว พ่อจะย้ำเตือนตลอด ว่าที่เขาหายไปนานๆ เพราะแฟนไม่ให้มาหรือเปล่า ให้ผมเจ็บปวดตอนนี้ดีกว่าวันข้างหน้าต้องทรมาน เราต้องอยู่ในนี้อีกไม่รู้กี่ปี ข้างนอกมันมีอะไรตั้งเยอะตั้งแยะ เค้าย่อมมีทางเลือก ไม่เจอกันมา 3เดือนแล้ว มันก็อยากเห็นหน้าเป็นธรรมดา อาจจะเป็นกรรมที่ผมต้องชดใช้ก็ได้ อาจจะเคยทำให้ใครต้องรอ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็จะใช้กีตาร์บำบัดความรู้สึก หรือไม่ก็วาดรูป แต่งเพลงให้เค้าเพลงที่แต่งจากน้องคนนี้มีเยอะมาก (ยิ้ม)”





เผย แอบรันทดใจที่ไม่สามารถกอดพ่อได้ แต่ก็จะบอกรักผ่านกรงขังทุกครั้งที่เจอกัน สุดห่วงเพราะพ่อก็อายุมากขึ้นทุกวัน ส่วนแม่ก็ป่วยมีโรคประจำตัว พร้อมบอก ถูกสอนให้อยู่กับความจริง ฉะนั้นถ้าไม้ได้รับการลดโทษ และต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิตก็ต้องยอมรับและอยู่ให้ได้





“พ่อมาเยี่ยมทุกวันอังคาร ส่วนวันอื่นๆ ก็จะวนๆ เวียนๆ กันมา แม่ก็จะมาได้เดือนละครั้งสองครั้ง เพราะต้องขายของและมีโรคประจำตัวด้วย ได้กอดพ่อครั้งสุดท้ายวันที่ 13 พ.ค.ตอนไปฟังผลอุทธรณ์ คือตอนนั้นยังไม่ทันคิดอะไร เพราะเพิ่งฟังคำพิพากษาเสร็จ กำลังจะลงไปห้องฝากขังด้านล่าง แล้วพ่อเค้าก็ขอกับผู้คุมว่า ขอผมกอดลูกชายหน่อย ตอนแรกผู้คุมลังเลนิดนึง เพราะมันเคยมีเรื่องซุกซ่อนยาใส่กระเป๋าเข้ามาข้างใน เค้าก็เลยไม่อยากอนุญาต แต่สุดท้ายก็ให้กอด พ่อเค้าก็บอกว่าไม่ต้องคิดมากนะ พ่อรักลูกนะ เค้าก็กอดเรา วันนั้นไม่ได้ร้องไห้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะมีบ้าง”





“พ่อบอกรักทุกครั้งที่เจอกัน กับแม่ก็เหมือนกัน เราบอกรักกันทุกครั้งที่พ่อมาเยี่ยม เมื่อก่อนจะเก็บความรู้สึก อาจจะเพราะเขิน เป็นผู้ชายด้วย แต่ตอนนี้ไม่เก็บแล้ว โอกาสแบบนี้วันนึงถ้าเสียไป จะเรียกร้องให้มันหวนคืนมาไม่ได้แล้ว และผมคงจะเสียใจมาก ตั้งแต่โตมาไม่ค่อยสนิทกับพ่อ เพิ่งจะมาสนิทกันเมื่อ 4 ปีกว่า ที่ผ่านมา หลังจากผมเข้ามาอยู่ในนี้ ทำให้เข้าใจพ่อมากขึ้น ตอนเด็กๆ เวลาที่พ่อสอนอะไรจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดหรอก ไม่ใส่ใจบ้าง แต่พอเราโต คำสอนที่พ่อบอกมันใช่หมดเลย”





“ห่วงเค้ามากแต่ไม่รู้จะทำยังไงดี มันต้องตัด หลายคนในนี้เขาตัดไม่ได้ มีความวิตกกังวล ไม่มีความสุขครุ่นคิดจนเป็นโรคจิต ที่ต้องตัดเพราะเราทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้ามัวแต่วิตกเราก็จะอยู่อย่างทรมานทุกข์ใจ พลอยทำให้คน



วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เลิกบุหรี่ 1 ซอง อิ่มท้องทั้งครอบครัว

ตราบใดที่ยังมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกจากปลายมวนบุหรี่ ตราบนั้นหน้าที่ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจึงไม่อาจหยุดนิ่ง ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อสร้างสรรค์ให้สังคมไทยปลอดภัยจากบุหรี่ และปลุกระดมให้ชาวไทยช่วยกันขับไล่มฤตยูร้ายคร่าชีวิต อย่างบุหรี่ให้หมดสิ้นไป โดยการจับมือกับ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จัดงานรณรงค์ภายใต้คำขวัญ “Tobacco – Free Youth เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่”

การปลุกกระแสให้สังคมโลกสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดบุหรี่ และช่วยกันแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่กับเยาวชน ที่เป็นประชากรโลกที่สำคัญในอนาคต การรณรงค์ที่ชื่อว่า “เลิกบุหรี่ 1 ซอง อิ่มท้องทั้งครอบครัว” จึงเกิดขึ้นโดยการผนึกกำลังกันของ 3 ภาคหลักดังที่กล่าวข้างต้น เพื่อเรียกร้องให้คนสูบบุหรี่ทุกคนเลิกบุหรี่เพื่อครอบครัวอิ่มท้อง และเป็นการเลิกเพื่อหยุดการเผาข้าวถึง 12,400 ตันต่อวัน ทุกวันนี้วิกฤติเศรษฐกิจ ข้าวยาก หมากแพง เงินทองของคนจนมีค่าที่ต้องอดออมไว้เลี้ยงปากท้อง และใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็น

แต่...ความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้เหล่าภาคีถึงกับอึ้ง !!! เมื่อผลสำรวจพบว่า คนไทย “ยิ่งจน ยิ่งสูบ” ทั้งที่ในปี 2551 ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยต่อวันทั้งประเทศเท่ากับ 144 บาท ขึ้นจากปี 2535 ซึ่งมีค่าแรงเฉลี่ย 100 บาท คิดดูก็แล้วกันว่า กว่าจะได้ค่าแรงขั้นต่ำขึ้น 44 บาท ต้องใช้เวลาถึง 16 ปี และขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.75 บาทเท่านั้น กว่าค่าแรงขั้นต่ำจะขึ้นได้แต่ละครั้ง สหภาพแรงงานและบรรดาลูกจ้างต้องต่อรองด้วยสภาพที่ยากลำบาก ลูกจ้างแรงงานอยู่ในสถานภาพที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง...แล้วเราจะเอาเงินที่กว่าจะได้มาอย่างลำบากนั้นไปซื้อบุหรี่ทำไม?...

นอกจากนี้...หากผู้สูบบุหรี่หันมาตระหนักว่าการหยุดสูบบุหรี่ 1 ซอง ก็จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 45 บาท และหากนำเงิน 45 บาทนั้นมาซื้อข้าวสารจะซื้อได้ถึง 1.5 กก. ซึ่งเพียงพอสำหรับการบริโภคในครอบครัวขนาด 3 คน ได้ 2 – 3 วัน คน ดังนั้นเพียงแค่เลิกบุหรี่ 1 ซอง คนในครอบครัวจะอิ่มท้องได้นานถึง 3 วันเชียวค่ะ...

และที่น่าตกใจไปกว่านั้น...คือการพบจำนวนคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่มีมากถึง 10.9 ล้านคน และใช้เงินซื้อบุหรี่เฉลี่ยวันละ 12 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่คนไทยทั้งประเทศ ซื้อบุหรี่สูงถึง 131 ล้านบาท ต่อวัน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถซื้อข้าวสารได้ถึง 12,400 ตันต่อวัน สามารถใช้เลี้ยงคนไทยได้ถึง 24.4 ล้านคน ซึ่งหมายถึง คนกว่า 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ!!!

แหม...รู้อย่างนี้แล้วนักสูบหน้าเก่าหน้าใหม่ทั้งหลายก็ควรเก็บเงินไว้ซื้อข้าวให้ลูกเมียที่บ้านกินกันดีกว่าค่ะ จะได้อิ่มท้องกันอย่างถ้วนหน้าทั้งคุณทั้งครอบครัว เพราะบุหรี่ไม่เคยให้คุณกับใครค่ะ...เลิกบุหรี่กันเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป.....


เรียบเรียงโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content
www.thaihealth.or.th