วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551



บุคคลดีเด่นแห่งชาติ


ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เข้ารับรางวัลพระราชทานโล่เกียรติคุณ ประจำปี พ.ศ. 2551 จากสมเด็กพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะบุคคลดีเด่นแห่งชาติระดับนโยบาย จัดโดยสมาคมสุขศึกษา พลศึกษา และสันทนาการ แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)






วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ชี้พ่อแม่สิงห์อมควัน ทำลูกเสี่ยงใหลตาย



พบพ่อแม่สิงห์อมควันทำเด็กเล็กป่วยจากควันบุหรี่อื้อ เสี่ยงโรคใหลตายมากกว่าปกติ 2.5 เท่า พบเด็กต่ำกว่า 12 ปี มีผู้ปกครองสูบบุหรี่ 63%
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ (มสบ.) จัดงานแถลงข่าว "เปิดโครงการสถานบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี "ต้นแบบในการรณรงค์ให้บ้านปลอดบุหรี่" ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
พญ. ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถานบัน กล่าวว่า ปัญหาควันบุหรี่มือสอง กำลังเป็นภัยร้ายของเด็กเล็ก จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2547 พบว่ามีครัวเรือน 7.3 บ้านครัวเรือน ที่มีสมาชิกอย่างน้อยหนึ่งคนสูบบุหรี่ และมีประชากรอายุต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 2.28 ล้านคนที่ได้รับควันบุหรี่มือสองในบ้าน ซึ่งจากการสำรวจใน ปี 2550 ยังยืนยันว่า ร้อยละ 58.9 หรือ 6.3 ล้าน คน จากจำนวน ผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด 10.8 ล้านคน นิยมสูบบุหรี่ขณะอยู่ในบ้าน แสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากภัยของควันบุหรี่ได้เลย



รศ.นพ. สรศักดิ์ โล่จินดารัตน์ ผู้แทนราชวิยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เด็กเป็นผู้ได้รับอันตรายจากควันบุหรี่ในบ้านในระดับสูง เพราะเด็ก ๆ มีระบบทางเดินหายใจที่เล็ก อัตราการหายใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ และระบบป้องกันภายในร่างกายยังไม่แข็งแรง เหมือนผู้ใหญ่ จึงทำให้เด็กได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มากกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า โดยควันบุหรี่มือสองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคใหลตายในเด็ก หรือโรค SIDS ทำให้เกิดการตายในเด็กตั้งแต่ในครรภ์มารดา และตายเมื่อเป็นทารก โดยพบว่าครอบครัวที่มีพ่อสูบบุหรี่จะทำให้เด็กเสี่ยงเป็ฯโรคใหลตายเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า และหากทั้งพ่อและแม่สูบบุหรี่ความเสี่ยงก็จะเพิ่มเป็น 4 เท่า



รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ อุปนายกสมาคมโรคภูมิแพ้ และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคภูมิแพ้ในเด็กมีสาเหตุมาจาก 2 ปัจจัย คือ พันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม โดยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมมักเกิดจากการได้รับควันบุหรี่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคหอบหืด และโรคภูมิแพ้อากาศ โดยโรคหอบหืดในเด็กไทยพบร้อยละ 12-13 หรือประมาณ 3 ล้านคน แต่โรคนี้มีอันตรายมากกว่าเพราะหากรุนแรงอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนโรคภูมิแพ้อากาศพบมากถึงร้อยละ 30 ซึ่งโรคดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ทำให้มีอาการไอ จามตลอดเวลา ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ



รศ.พญ.มุกดา หวังวีรวงศ์ หัวหน้าโครงการสถาบันกล่าวว่า สถาบันได้ร่วมกับสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ทำการสำรวจความคิดเห็นต่อการรณรงค์ “บ้านปลอดบุหรี่” ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2551 โดยสำรวจพ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่มีบุตรหลานอายุตั้งแต่แรกเกิด – 12 ปี ที่นำมารับบริการที่สถาบัน จำนวน 658 คน พบว่าร้อยละ 63.4 เป็นผู้สูบบุหรี่ โดยสูบเฉลี่ยวันละ 10.83 มวน หรือเฉลี่ยสูบ 24 วันต่อเดือน นอกจากนี้ ร้อยละ 82 ของพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สูบบุหรี่ยอมรับว่ามีการสูบบุหรี่ในบ้านจริง ขณะที่ร้อยละ 29.2 ยอมรับว่ามีบุตรหลานอยู่ใกล้ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองสูบบุหรี่ และร้อยละ 35 เคยเห็นบุตรหลานเลียนแบบท่าทางการสูบบุหรี่ ที่สำคัญร้อยละ 86 ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่า ผู้ที่รับควันบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับคนที่สูบบุหรี่ แต่จากการสำรวจพบว่าผู้ปกครองไม่ถึงครึ่งที่ว่าโรคต่าง ๆ ในเด็กเกี่ยวข้องกับการได้รับควันบุหรี่มือสอง



“ผู้ปกครองทราบว่า ควันบุหรี่มือสองทำให้เด็กเป็นหวัดบ่อยขึ้นเพียงร้อยละ 37 การติดเชื้อทางเดินหายใจร้อยละ 51.8 หลอดลมอักเสบร้อยละ 48.8 หืดจับบ่อยขึ้นร้อยละ 53.8 หูน้ำหนวกร้อยละ 17.4 และใหลตายในเด็กเพียงร้อยละ 17 จึงมีความจำเป็นที่สถานบริการทุกแห่งจต้องร่วมกันให้ความรู้แก่ผู้ปกครองถึงโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งจากการสำรวจ พบว่าร้อยละ 84 ของผู้ปกครองเห็นด้วยกับการรณรงค์ให้บ้านเป็นเขตปลอดบุหรี่” รศ.พญ. มุกดากล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก วันที่ 5 ธันวาคม 2551

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

อบรมเครือข่ายครูนักรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ 4 ภูมิภาค

เครือข่ายครูนักรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โดยการสนับสนุนของมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูมีสมรรถนะและศักยภาพในการควบคุมการบริโภคยาสูบให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันเด็กและเยาวชนให้รอดพ้นอันตรายจากการสูบบุหรี่ และสร้างค่านิยมที่ไม่สูบบุหรี่ ได้จัดให้มีการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพเครือข่ายครูนักรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ขึ้น 4 ภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่ จันทบุรี โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 193 คน จาก 110 โรงเรียน และ 1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งเป็น




ภาคเหนือจัดที่เชียงใหม่ 37 คน จาก 23 โรงเรียน (มัธยมทั้งภาครัฐและเอกชน 20 แห่ง / อาชีวะเอกชน 3 แห่ง)
  • ภาคอีสานจัดที่ขอนแก่น 56 คน จาก 33 โรงเรียน (มัธยมทั้งภาครัฐและเอกชน 29 แห่ง / อาชีวะเอกชน 4 แห่ง)

  • ภาคใต้จัดที่สงขลา 52 คน จาก 28 โรงเรียน (มัธยมทั้งภาครัฐและเอกชน 24 แห่ง / อาชีวะเอกชน 4 แห่ง)
  • ภาคตะวันออกจัดที่จันทบุรี 48 คน จาก 26 โรงเรียน (มัธยมทั้งภาครัฐและเอกชน 25 แห่ง / อาชีวะเอกชน 1 แห่ง)

ครูศุภรัตน์ ตันติเวชวงศ์ ประธานเครือข่ายครูนักรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จากผลการวิจัยเรื่อง “การสูบบุหรี่ของนักเรียนนักศึกษาและพฤติกรรมปัญหาที่เกี่ยวข้อง” ของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ พบว่า เยาวชนที่สูบบุหรี่จะมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ไม่สูบบุหรี่ในเกือบทุก ๆ พฤติกรรม โดยระบุว่า ในเยาวชนไทยจำนวน 100 คนที่สูบบุหรี่ จะมีพฤติกรรมดื่มเหล้า
88 คน เที่ยวกลางคืน 68 คน มีเพศสัมพันธ์ 67 คน เล่นการพนัน 40 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นการติดยาเสพติด พบว่า การสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์สูงมากกับการใช้ยาเสพติดในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมต้น ซึ่งสนับสนุนความเชื่อเดิมที่ว่า การสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะนำเยาวชนไปสู่ยาเสพติด โดยยิ่งอายุน้อยเท่าใดก็จะมีโอกาสก้าวจากบุหรี่ไปสู่ยาเสพติดมากยิ่งขึ้น
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จึงจัดให้มี โครงการโรงเรียนปลอดบุหรี่ ขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงเรียนมีนโยบายและการดำเนินงาน เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนจากการติดบุหรี่ และเป็นการรณรงค์ให้โรงเรียนปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่18) พ.ศ.2550 เรื่องการกำหนดให้สถานที่สาธารณะเป็นเขตปลอดบุหรี่ โดยกำหนดให้โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาระดับที่ต่ำกว่าอุดมศึกษาต้องเป็นเขตปลอดบุหรี่ทั้งหมด

ครูศุภรัตน์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เนื้อหาสำคัญของการอบรมครั้งนี้ประกอบด้วย การนำเสนอข้อมูลสถาน
การณ์และแนวโน้มการบริโภคยาสูบ มาตรการด้านต่าง ๆ ในการควบคุมยาสูบ บทบาทหลากหลายของครูและโรงเรียนในการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ รวมทั้งวิทยากรจากเครือข่ายครูฯ แต่ละท่านจะนำประสบการณ์และการทำงานรณรงค์เพื่อแลกเปลี่ยนกับครูที่เข้ารับการอบรม เช่น


ครูอนงค์ พัวตระกูล คณะกรรมการเครือข่ายครูฯ โรงเรียนบางมดวิทยา”สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์” นำเสนอการสร้างแกนนำเยาชนพี่สอนน้อง ในการรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ร่วมทั้งสร้างเครือข่ายเยาวชน

ครูสุวิมล จันทร์เปรมปรุง โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑลนำเสนอการสร้างเยาวชนให้เป็นนักรณณรงค์และสร้างเครือข่ายโรงเรียนปลอดบุหรี่

ครูวราภรณ์ หงส์ดิลกกุลโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน นำเสนอวิธีการสร้างความเข้าใจนักเรียนให้เลิกสูบบุหรี่ รวมทั้งเทคนิคครูและผู้ปกครองมีส่วนช่วยให้เด็กไม่ติดหรือเลิกบุหรี่




คุณครูพเยาว์ รุจิโรจน์ โรงเรียนสามพรานวิทยา นำเสนอเทคนิคการผลิตสื่อเพื่อใช้ประกอบในการจัดการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้เห็นถึงพิษภัยและอันตรายของการสูบบุหรี่มีหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น สื่อทำมือ หุ่นจำลอง การประดิษฐ์เกมต่าง ๆ จุดหนึ่งที่สร้างความฮือฮาแก่ผู้เข้าร่วมอบรม คือ การรู้เท่าทันกลยุทธ์บริษัทบุหรี่ ผู้เข้าร่วมอบรมกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่คิดว่าจะมีกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เป็นความรู้ที่ใหม่มาก ๆ

โรงเรียนใดสนใจข้อมูล หรือต้องการทราบรายละเอียดในการดำเนินโครงการโรงเรียนปลอดบุหรี่ ติดต่อสอบถามได้ที่มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ คุณธวัชชัย ก่อบุญ โทร. 0-2278-1828, 084-127-8624]



โฉมหน้าวิทยากรวิทยากรของเรา



ระดมความคิดและนำเสนอแผนงาน

กิจกรรมละบรรยากาศการเข้าร่วมการอบรม

ใหม่ !!!

ที่มา : ศูนย์ข่าว มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ พฤศจิกายน 2551

มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
ACTION ON SMOKING AND HEALTH FOUNDATION

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

บุหรี่นอกฟ้องไทย

สวัสดี ท่านสมาชิกสภาประชาชนผู้ทรงเกียรติ

สมาชิก "ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ" เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ยกมือขออภิปรายภึงกรณีที่บุหรี่นอกยื่นฟ้องรัฐบาลไทย

เรียน ท่านประธานท้วมที่เคารพ
วันนี้ผมขอยกมืออภิปรายเรื่องที่ประเทศไทย ตกเป็นจำเลยของบริษัทบุหรี่นอกอีกครั้งหนึ่ง

โดยบริษัท ฟิลิปมอริสฯ เจ้าของบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร และแอลแอนด์เอ็ม บุหรี่นอกที่ขายที่ที่สุดในประเทศไทย วิ่งเต้นให้รัฐบาลฟิิลิปปินส์ยื่นคำฟ้องต่อดับเบิลยูทีโอ หรือองค์การการค้าโลก ว่ารัฐบาลไทยประเมินภาษีบุหรี่ของเขาเกินความจริง ทำให้สินค้าของเขาเสียเปรียบบุหรี่โรงงานยาสูบไทย

โดยคำร้องเรียกร้องให้ดับเบิลยูทีโอ ตัดสินให้ประเทศไทยยุติการเก็บภาษีเกินจริง

เรื่องนี้คาราคาซังมาหลายปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังมีความเห็นว่า บริษัท ฟิลิปมอริสฯ แจ้งราคานำเข้าบุหรี่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง ดีเอสไอหรือหน่วยงานสือสวยพิเศษพยายามที่จะสืบหาข้อมูลเพื่อยืนยันราคาน้ำเข้าที่แท้จริง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากบริษัทฟิลิปมอริสฯ ปกปิดข้อมูล แม้ทีมสืบสวนจะไปหาข้อมูลถึงมะนิลา และจาการ์ตา ก็ไม่ได้ข้อมูลกลับมา

กระทรวงการคลังจึงตัดสินใจกำหนดราคานำ้เข้าที่สูงขึ้น จากที่ฟิลิปมอริสแจ้งเพือประเมินภาษีบุหรี่มาร์ลโบโล จากซองละเจ็ดบาท เป็นแปดบาท ซึ่งทำให้ประเมินภาษีได้เพิ่มขึ้น และฟิลิปมอริสโต้แย้งว่าทำให้บริษัทของเขาต้องเีสียภาษีเพิ่มขึ้น ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นทำให้แข่งขันกับบุหรี่ไทยได้น้อยลง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัท ฟิลิปมอริสฯ ฟ้องรัฐบาลไทยต่อดับเบิลยูทีโอ

เมื่ือ พ.ศ. 2532 บริษัทธ ฟิลิปมอริสฯ ร่วมกับบริษัทบุหรี่ข้ามชาติสัญชาติอเมริกาอีกสองบริษัท คือ อาร์เจโรย์โนล และบราวแอนด์ วิลเลียมสัน เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาฟ้องดับเบิลยูทีโอ ให้ตัดสินบังคับให้ประเทศไทยเปิดตลาดบุหรี่จนเป็นผลสำเร็จมาแล้ว

และเมื่อเปิดตลาดบุหรี่ไทยได้แล้ว ยังพยายามกดดันให้รัฐบาลยกเลิกกฎหมายห้ามสินค้าบุหรี่สนับสนุนการกีฬาด้วย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ออกมาคัดค้านเขาจึงทำไม่สำเร็จ

ครั้งนี้บริษัท ฟิลิปมอริสฯ ฟ้องร้องผ่านรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่เขาตั้งโรงงานอยู่ เพราะบริษัท ฟิลิปมอริสฯ เองไม่มีสิทธิ์ฟ้อง

และตอนนี้เขาจะใช้รัฐบาลอเมริกาเพื่อกดดันประเทศไม่ได้แล้ว เพราะบริษัท ฟิลิปมอริสฯ ได้แยกธุรกิจที่ทำภายในอเมริกา กับภายนอกประเทศ เป็นคนละนิติบุคคลกัน

ผู้ที่ฟ้องรัฐบาลไทย เป็นบริษัท ฟิลิปมอริส อินเตอร์เนชั่นแนล ทีีมีฐานอยู่ที่เมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา

เหตุที่เขาแยกบริษัทที่ทำกาค้าบุหรี่ นอกประเทศอเมริกา ออกเป็นบริษัทต่างหาก ก็เพื่อที่การปฏิบัติการค้าบุหรี่นอกอเมริกา ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมยาสูบ ของสหรัฐอเมริกา ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ข่าววงในจากกระทรวงการคลัง ให้บริษัท ฟิลิปมอริสฯ กดดันกระทรวงการลังอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ เพื่อให้ไทยยอมตามคำเรียกร้องของเขา

ในฐานะที่ผมเคยอยู่ในทีมผู้แทนไทยที่เจรจากับบริษัทบุหรี่นอก ที่กดดันให้เป็นตลาดบุหรี่มาก่อนเจรจากับสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา ทั้งที่วอชิงต้น และที่อับเบิลยูทีโอ ที่เจนีวา

อยากให้โรงงานยาสูบไทยได้อ่านคำฟ้องร้องของเขา ที่กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับโรงงานยาสูบ รัฐบาลไทยเลือกปฏิบัติต่อบุหรี่ต่างประเทศ และให้คุณต่อโรงงานยาสูบไทย

โรงงานยาสูบจึงต้องไม่ไปร่วมมือกับบริษัทนี้ ในการคัดค้านข้อเสนอการควบคุมยาสูบของกระทรวงสาธารณะสุข ดังที่เคยทำมาแล้วหลายครั้งในอดีต เพราะยิ่งไปร่วมมือกับเขามากเท่าไหร่ โรงงานยาสูบเองจะเสียส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเท่านั้น

และเหตุที่เขาฟ้องร้องเราก็เพราะต้องการสินค้าบุหรี่ของเขาแย่งส่วนแบ่งตลาดไทยให้ได้มากขึ้นจาก 20% ที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ผมขอเป็นกำลังใจแก่เพื่อนข้าราชการกระทรวงการคลัง ในการต่อสู้คดีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยให้เต็มความสามารถ

ไม่ต้องไปกลัวบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในโลก

เพราะส่วนแบ่งตลาดที่มากที่สุดในโลก ย่อมหมายความว่าสินค้าของเขาเป็นฆาตกรฆ่าคนตายมากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน

เราจึงไม่ต้องไปกลัวเขา

ขอบคุณคุณหมประกิต ที่ช่วยนำเรื่องนี้มาบอกกล่าวเพื่อนสมาชิก เห้นหรือยังว่าบุหรี่นอกมันร้ายกาจขนาดไหน

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2551

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ไทยซิวรางวัลควบคุมบุหรี่ดีเยี่ยม ปี 2551ที่โรงแรมโฟซิเทล เซ็นทารา แกรนด์ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ที่ผ่านมา ในการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคติน และยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 นพ. ปราชญ์ บุณยวงศ์ วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก่าวตอนหนึ่งว่า ในปี 51องค์กรภาคีโลกไร้ควันบุหรี่ ซึ่งเป็นองค์กรก่อตั้งเพื่อดำเนินการตามนโยบายรณรงค์คุ้มครองสุขภาพ ของผู้ไม่สูบบุหรี่ ได้มอบรางวัล จี เอส พี ให้กับประเทศไทยในฐานะที่มีผลการดำเนินงานด้านการควบคุมยาสูบชัดเจน ในระดับดีเยี่ยมของโลก ทำให้ประชาชนที่ไม่สูบบุหรี่ได้รับความนิยมปลอดภัยจากควันพิษในบุหรี่ เป็นการสนับสนุนนโยบายขององค์การอนามัยโลกให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

ด้าน น.ส. บังอร ฤทธิภักดี ประธาน เครือข่ายควบคุมการบริโภคยาสูบในภูมิภาคอาเชียน กล่าวว่า สถานการณ์การบริโภคยาสูบในกลุ่มอาเซียนพบว่า มีผู้สูบถึง 125 ล้านคนจากประชากร 575 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรที่สูบบุหรี่ทั่วโลก ที่ผ่านมาประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนได้ให้ความร่วมมือในการเดินหน้ามาตรการควบคุมยาสูบในประเทศ ซึ่ง 4 ใน 10 ของกลุ่มประเทศอาเซียนมีการดำเนินการออกคำเตือนที่เป็นรูปภาพ ซึ่งไทย และสิงคโปร์ดำเนินการแล้วส่วนบรูไนจะออกภาพคำเตือนในปีนี้ ขณะที่มาเลเซียจะจัดทำในปีหน้า นอกจากนี้ยังร่วมมือมาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่หรือส่งเสริมการขาย โดย 8 ใน 10 ประเทศ ห้ามโฆษณาบุหรี่ ยกเว้นกัมพูชา และอินโดนีเซีย ที่ยังปล่อยให้มีการโฆษณาได้
บุหรี่แนวใหม่จับใส่กระป๋องพร้อมดื่ม

บริษัทแดงกังหันอวดอ้างพัฒนาเครื่องดื่มสมุนไพรรสผลไม้ ที่ให้ความรู้สึกปลอดปล่อยผ่อนคลายแบบเดียวกับบุหรี่

กลุ่มเป้าหมายของ "ลิควิด สโมกกิ้ง" คือ สิงห์อมควันที่ไม่สามารถจุดบุหรี่ได้ในผับหรือสถานที่ สาธารณะ แต่อยากตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง

ยูไนเต็ด ดริงส์ แอนด์ บิวตี้ คอร์เปอเรชัน แห่งเนเธอแลนด์ หวังว่าเครื่องดื่มน้องใหม่ จะเริ่มวางขายได้ก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาสหนึ่งสัปดาห์ และหวังว่าจะนำเข้าไปขายในผัดในรูปแบบของมิกเซอร์ เช่นเดียวกับ เรดบูลล์

ยูไนเต็ด ดริงส์ยืนยันว่า ลิควิด สโมกกิ้ล ไม่มีนิโคติน แต่มีส่วนผสมของรากไม้ต่าง ๆ จากแอฟริกาที่คนป่าใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14

คนป่าที่ว่าจะเคี้ยวใบของต้นไม้เหล่านั้นเพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ แต่สำหรับลิควิด สโมกิ้ง ผู้ผลิตได้นำรากไม้ไปกลั่นเป็นน้ำมัน ก่อนนำมาปรุงเป็นเป็นเครื่องดื่ม

เครื่องดื่มชนิดนี้ให้พลังงานต่ำกว่า 21 แคลอรี่ในกระป๋มขนาด 275 มิลิลิตร และราคาน่าจะอยูทที่ 1.50 ปลอนด์ (85 บาท) สำหรับร้านค้าทั่วไป และ 2 ปลน (114 บาท) ในผับ

ที่สำคัญ ยังไม่มีการจำกัดอายุผู้ซื้อ แม้ทางผู้ผลิตสำทับว่า ไม่ว่าคิดว่าเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ควรดื่มก็ตาม

มาร์ติน ฮาร์ตแมน ปรธานบริหารยูไนเต็ด ดริงส์ กล่าวว่า ไม่มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า ลิควิด ดริงกิงส์ เป็นอันตรายไม่ว่าในทางใด และบริษัทกำลังรอการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุขฮอลแลนด์ เพื่อเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์

"ผลิตภัณฑ์นี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อให้มีคุณสมบัติคล้ายนิโคติน เพราะเราต้องการนำเสนอทางออกสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ลูกค้าสามารถดื่มลิควิด สโมกกิ้งแทนการสูบบุหรี่"

"ลิควิด สโมกกิ้งเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย คล้าย ๆ เวลาสูบบุหรี่ แรก ๆ คุณจะรู้สึกตื่นตัวมากกว่าเคลิบเคลิ้ม แล้วจะรู้สึกว่าจิตใจสงบลง และทำให้หายอยากนิโคติน ได้ 1-4 ชั่วโมง"

อย่างไรก็ตาม กลุ่มต่อต้านการสูบบุหรี่ไม่ปลื้อมกับผลิตภัณฑ์นี้ แต่อย่างใด โดยเฉพาะการชูจุดขายว่าเป็นทางเลือกแทนบุหรี่ และการที่ผู้บริโภคถูกปิดหู ปิดตา ได้รับรู้เพียงส่วนผสมที่ผู้ผลิตยอมเปิดเผยออกมาเท่านั้น รวมถึงการอวดอ้างเรื่องสุขภาพ ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ ซ้ำแพกเกจผลิตภัณฑ์ยังตั้งใจทำออกมาให้เหมือนซองบุหรี่ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมการสูบบุหรี่ทางอ้อม

ปัจจุบัน มีความกังวลกันมากขึ้นเรื่องผลกระทบจากเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนในปริมาณมาก เช่น เรดบูลล์ ที่มีต่อวัยรุ่น และหนุ่มสาว เนื่องจาก หากร่างกายรับกาเฟอีนมากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาการนอนไม่หลับ กังวล และอยู่ไม่นิ่ง ควบคุมตัวเองไม่ได้ เกี่ยวกับประเด็กหลัง ฮาร์ตแมน ยืนยันว่า ลิควิด สโมกกิ้งมีฤทธิ์การปลดปล่อยมากกว่ามีฤทธิ์กระตุ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, ปริทรรศน์/360 องศาโลก วันที่ 29 ตุลาคม 2551





ทั่วโลกจับมือร่างกฎหมาย คุมบุหรี่เถื่อน ห้ามโฆษณาเว็บ - ไม่ขายปลอดภาษีในดิวตี้ฟรี

ผู้จัดการรายวัน - วานนี้ (29 ต.ค.) ที่โรงเรียนเซ็นทาราแกรนด์ ในการประชุมองสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคติน และยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ส.นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการประชุมยกร่างพิธีสารป้องกันบุหรี่เถื่อน ตามอนุสัญญาควบคุมการบริโภคยาสูบ มาตรา 15 ซึ่งมีสมาชิก 160 ประเทศ ทั่วโลก ได้ร่วมกันหารือในประเด็นการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน ดังนี้

1. ห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่าง ๆ ให้ขายได้เฉพาะบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศ เป็นจำนวนมาก

2. ห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่

3. ห้ามขายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ และ

4. ห้ามจำหน่ายบารากู่ หรือฮูกก้า ซึ่งยังต้องประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็กเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน

ด้าน นพ.หทัย ชิตานนท์ ประธานสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย (สสท.) และในฐานะประธานการประชุมฯ กล่าวว่า ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเช่นนี้ เกิดภาวะตกงาน ประชาชนยากจนลง โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งผู้บริโภคยาสูบของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทำให้ประชาชนหันไปสูบบุหรี่มวนเอง คาดผู้สูบบุหรี่ในอีก 2 ปีข้างหน้า ผู้ที่สูบบุหรี่ทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างมาก อีกทั้งทำให้ประชาชน มีศักยภาพในการซื้อน้อยลง จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการจำหน่ายบุหรี่แบ่งขาย หรือบุหรี่ซอยเล็กที่บรรจุน้อยกว่า 20 มวน ตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงปัญหาของการลักลอบนำบุหรี่เถื่อนมาขาย มีมากขึ้น

"วิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้คือ จะต้องจัดระเบียบระบบการจำหน่ายบุหรี่มวนเอง ให้มีการจัดเก็บภาษี เพราะปัจจุบันยาเส้นที่นำมาใช้ ไม่มีการเก็บภาษีจึงทำให้ราคาถูกมาก ซึ่งที่ผ่านมาสาธารณสุขได้หารือกับกรมสรรถสามิต กระทรวงคลัง ในการหามาตรการในการจัดเก็บภาษียาเส้น ซึ่งเป็นวัตถถุดิบในการที่ประชาชนจะมวนบุหรี่สูบเอง นอกจากนี้ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. ยาสูบ พ.ศ. 2509 ในการห้ามจำหน่ายบุหรี่ซองเล็ก และปราบบุหรี่เถื่อนอ่างจริงจัง มากขึ้นด้วย นพ.หทัย กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 30 ต.ค. 2551

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ควันบุหรี่มีโทษต่อแมว (นะจะบอกให้)


ใช่แต่คนเท่านั้นที่ได้รับพิษภัยจากควันบุหรี่ แมวที่เลี้ยงไว้ในบ้านที่อวลด้วยควันบุหรี่ก็มีสิทธิ์ล้มป่วยสุขภาพทรุดโทรม ได้เช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการวิจัยของนักวิชาการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพบว่าแมวของครอบครัวที่สูบบุหรี่มักป่วยด้วยโรคมะเร็งสูงกว่าแมวทั่ว ๆ ไป ถึง สอง เท่า

แต่ถ้าหากคนในบ้านสูบบุหรี่มากคนเท่าไหร่ โอกาสป่วยก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว อาทิ ถ้าสูบบุหรี่ สองคน แมวจะมีโอกาสป่วยเพิ่มเป็นสี่เท่าเลยทีเดียว


เหตุที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งนั้น เป็นเพราะแมวใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่แต่ในบ้าน และมักจะกลืนเอาเศษวัสดุที่ปลิวมาติดบนขนขณะเลียทำความสะอาด ดังนั้นสารพิษจากบุหรี่จึงเข้าไปในร่างกายเต็ม ๆ

รู้อย่างนี้แล้วยังจะสูบบุหรี่อีกทำไม หยุดทำร้ายผู้อื่นเสียเถิด !!!! เมี้ยว ๆ

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

จากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2551

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"ประเวศ วะสี" แนะ "ทางออกจากวิกฤต"





หมายเหตุ - นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโสเขียนบทความเรื่อง "ทางออกจากวิกฤต" เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม เพื่อเสนอแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสังคมไทยในขณะนี้

1.สาเหตุของการออกจากวิกฤตไม่ได้วิกฤตการณ์ต่างๆ ในโลกที่หาทางออกไม่ได้ เกิดจากความขัดแย้งระหว่างสภาพความจริงใหม่กับวิธีคิดเก่า สภาพความจริงใหม่ คือ สังคมปัจจุบันเป็นระบบซึ่งซับซ้อนสุดประมาณไม่เหมือนสังคมโบราณ ระบบที่ซับซ้อนนี้จะผลิตวิกฤตการณ์ด้านต่างๆ ออกมาตลอดเวลา ซึ่งเข้าใจได้ยาก แก้ไขได้ยาก หรือแก้ไขไม่ได้ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง ทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นวิกฤตการณ์คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผมพูดถึงมา 10 กว่าปีแล้ว หรือรวมเรียกว่ามหาวิกฤตการณ์สยาม เป็นวิกฤตที่ไม่มีรัฐบาลใด หรือใครแก้ได้

วิธีคิดเก่า คือวิธีคิดแบบตายตัว แยกส่วน ง่าย และเป็นเส้นตรง

ปัญหาของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิดแบบนี้ที่นำมนุษย์เข้าไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรง วิกฤตจนจะอยู่รอดไม่ได้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงกล่าวว่า "เราต้องการวิธีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง ถ้ามนุษยชาติจะอยู่รอดได้" วิทยาศาสตร์เก่าที่มีมา 500 ปี ก็ส่งเสริมวิธีเก่าแบบตายตัวแยกส่วน พระพุทธองค์ทรงค้นพบวิธีคิดใหม่ที่มองสรรพสิ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (อนิจจัง) วิทยาศาสตร์ใหม่ที่ค้นพบมาประมาณ 100 ปี แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เห็นว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันอย่างเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบมาเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้ว

ถ้าเอาทรรศนะและวิธีคิดแบบพุทธ หรือวิทยาศาสตร์ใหม่เข้าไปมองสภาพความเป็นจริงก็จะเข้าใจความซับซ้อน ความเชื่อมโยง ความเป็นพลวัต ความโกลาหล (Chaos) ความไม่มีทางออกด้วยทรรศนะ และวิธีคิดแบบเดิม ทรรศนะและวิธีคิดแบบเดิม ทำให้ทะเลาะกันมากขึ้น ขัดแย้งกันมากขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ เพราะขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริง ที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างซับซ้อนและอย่างเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง

2.การเห็นทั้งหมดตามความเป็นจริงระบอบทักษิณมีอยู่จริง ขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่เท่านั้น ทั้งหมดมีความหลากหลายมากกว่านั้นมาก ภายในที่เรียกรวมว่า ระบอบทักษิณก็มีความหลากหลายมาก ภายใน พธม.ก็มีความหลากหลายมาก ที่รวมกันเพราะความรู้สึกร่วมคือ ต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ในสังคมยังมีอื่นๆ ที่ทั้งไม่ใช่ระบอบทักษิณ และไม่ใช่ พธม.อีกมากมายซับซ้อน การมีพวกนิยมกษัตริย์บ้าง ไม่นิยมกษัตริย์บ้างนี้ ก็เป็นธรรมดาของความหลากหลาย เราไปปฏิเสธความหลากหลายไม่ได้ เพราะเป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริง

ตัวอย่างของระบบที่ดีที่สุดคือ ระบบร่างกายของเราซึ่งมีความหลากหลายสุดประมาณ เซลล์สมอง เซลล์หัวใจ ตับ ไต หัวแม่เท้า ฯลฯ ไม่เหมือนกันเลย หัวใจ ตับ ไต ต่างมีอัตลักษณ์ของตัว หัวใจกับตับ จะไปเหมือนกันไม่ได้ แต่อวัยวะจะมีอัตโนมติ (Autonomy) หัวใจจะไปรอให้ใครสั่งให้เต้นไม่ได้ ปอดจะไปรอให้ใครสั่งให้หายใจไม่ได้ มันจะตายเสียก่อน เราจึงเห็นทั้งความหลากหลายและความเป็นอิสระ แต่ทั้งหมดเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพโดยมีจิต หรือจิตจำนงเดียวกัน ถ้าสมองไปทาง หัวใจไปทาง ตับไปทาง เราก็เป็นคนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ฉะนั้น โจทย์ของเราไม่ใช่ไปปฏิเสธความหลากหลายที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ไปปฏิเสธอิสรภาพ หรืออัตโนมติของแต่ละอวัยวะของสังคม แต่โจทย์ของเราอยู่ที่ทำอย่างไรที่องคาพยพของประเทศไทยอันหลากหลาย และมีอัตโนมตินั้น จะมีความเป็นเอกภาพ คือมีจิตร่วม

เอกภาพไม่ได้อยู่ที่การคิด มนุษย์แต่ละคนคิดต่างกัน จะไปบังคับให้คิดเหมือนกันไม่ได้ นั่นเป็นเผด็จการ คิดต่างกัน จิตจำนงร่วมเป็นคนละเรื่อง จิตจำนงร่วมเกิดขึ้นได้ และที่จริงทุกคนทมีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แต่เราไปไม่ถึงเพราะมัวไปทะเลาะกันในส่วนที่ตื้นกว่า ถ้าเราสามารถสร้างจิตจำนงร่วมท่ามกลางความหลากหลายและอัตโนมติ เราจะเกิดพลังสร้างสรรค์มหาศาล เพราะฉะนั้น การทะเลาะกันแบบแยกส่วน จะยังทะเลาะกันไปก่อนก็สุดแล้วแต่เหตุปัจจัยและความเป็นไปได้ แต่ทุกฝ่ายควรระลึกรู้ว่าทางออกจากวิกฤตที่แท้จริงนั้นคือ การเห็นทั้งหมด คิดอย่างเชื่อมโยงสัมพันธ์ที่มีพลวัต คือปรับเปลี่ยนได้ตามเหตุปัจจัย ไม่ตายตัวแยกส่วน และสร้างจิตจำนงร่วมของประเทศ

3.ต้องเอาใจเป็นตัวตั้ง
เราคุ้นเคยกับการที่ว่าทำอะไรๆ ต้องเอาความรู้นำ ความรู้แยกเป็นส่วนๆ และปรากฏอยู่ใต้อำนาจของกิเลสได้ง่าย จึงไม่มีพลังพอที่จะพาออกจากสภาพวิกฤต ถ้าใช้ใจนำความรู้ตามจะพบทางออก การใช้ใจนำทำให้เปลี่ยนมุมมอง มุมมองเก่าทำให้ติด มุมมองใหม่ทำให้หลุดมุมมองเก่าคือ ต่างฝ่ายต่างมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรู ความจริงก็คือ
คนทั้งหมดไม่ว่าจะคิดอย่างไร หรือผิดถูกดีเลวอย่างไร ล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์กับเรา ถ้าเรามีความรักความเมตตาต่อคนทั้งหมด โดยไม่ตั้งเงื่อนไขแบบที่พ่อแม่รักลูก และลูกรักพ่อแม่ จิตจะหลุดจากความบีบคั้นทันที ทดลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ รักและเมตตาคนทั้งหมดโดยไม่ตั้งเงื่อนไขจะพบว่าจิตหลุดพ้นจากความบีบคั้นทันที มีความสุขและมองเห็นทางออก

การเยียวยาเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะเปิดพื้นที่ในหัวใจให้ทำสิ่งดีๆ ได้สุดสุด อย่างเหลือเชื่อ การเยียวยาต้องไม่เลือกข้าง เลือกขั้ว ไม่ตั้งคำถามหาผิดหาถูก เอาแต่ใจ...ของความเป็นมนุษย์มาสัมผัสกัน ตามหลักการผู้ตกเป็นเหยื่อ ไม่ได้มีเฉพาะผู้ถูกกระทำเท่านั้น ผู้กระทำก็ถือเป็นผู้ตกเป็นเหยื่อด้วย เหยื่อของความบีบคั้นอะไรที่ทำให้ทำ และความบีบคั้นอย่างสาหัสภายหลังกระทำ ฉะนั้นต้องไม่ลืมว่าผู้กระทำก็ต้องการการเยียวยาด้วย ยามที่ฝ่ายถูกกระทำ กำลังมีความแค้นพุ่งสูงยากที่จะยอมรับว่าผู้กระทำก็ต้องการการเยียวยาด้วย แต่ก็อยากจะฝากไว้ ซึ่งถ้าทำได้คนทั้งหมดจะร้องไห้กันระงม เพราะความสูงส่งของความเป็นมนุษย์เข้าจับมโนวิญญาณ ความสมานฉันน์หลังจากนั้นเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

4.ทางออกเฉพาะหน้า
โดยทางสันติ หรือโดยทางนองเลือดทางออกเฉพาะหน้าอาจสรุปเหลือสองเส้นทาง คือเส้นทางสันติวิธี กับเส้นทางนองเลือด

ก.เส้นทางสันติวิธี

(1) ด่วนที่สุด หากเหตุการณ์รุนแรงเมื่อ 7 ตุลาคม เป็นเรื่องของคุณสั่งมา เพื่อล้มกระด้านการตัดสินคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ลอนดอนในวันที่ 21 ตุลาคม ก็จะมีการสร้างสถานการณ์รุนแรงอีกจากวันนี้ไปถึงวันที่ 21 ตุลาคม ต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วกัน และช่วยกันระวังระไว อย่างเต็มที่ป้องกันไม่ให้มีสถานการณ์รุนแรง กทม. และกรมป้องกันสาธารณภัยต้องระดมอาสาสมัครรักษาพระนครอย่างเต็มที่ จะวางใจตำรวจแต่เพียงฝ่ายเดียวเห็นจะยังไม่ได้

(2) หากฝ่ายการเมืองและตำรวจที่รับผิดชอบสามารถเอ่ยคำว่า "ผมเสียใจ ผมขอโทษ ผมขอแสดงความรับผิดชอบดังต่อไปนี้ ....." จะลดดีกรีความร้อนแรงของความแค้นลงอย่างทันทีทันใด

(3) ดำเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็วทันใจจะช่วยถอดชนวนความรุนแรงลง เพราะความยุติธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์ มนุษย์ยอมตายเพื่อความยุติธรรมได้

ความยุติธรรมที่ยุติธรรมจะช่วยให้มีทางออกด้วยสันติ ความยุติธรรรมที่ไม่ยุติธรรม หรือความยุติธรรมปลอมจะไม่ได้รับความเชื่อถือ ผบ.ตร.จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงให้มีคนเชื่อถือได้อย่างไร ในเมื่อตำรวจเป็นคู่กรณี ความเกเรกับความยุติธรรม เป็นเหตุให้วิกฤตและออกจากวิกฤตไม่ได้ของสังคมเรื่อยมา ในอนาคตต้องช่วยกันทำให้ระบบยุติธรรมแข็งแรง ซึ่งรวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างของระบบตำรวจด้วย มิฉะนั้นตำรวจจะตกเป็นเหยื่อของการตกเป็นผู้ทำไม่ถูกต้องตลอดกาล สังคมไทยต้องรักตำรวจไทย เหมือนสังคมอังกฤษต้องรักตำรวจอังกฤษ

(4) ถ้ารัฐบาลและรัฐสภาหมดความสามารถในการแก้วิกฤต ควรขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เพื่อเปิดช่องว่างให้ทรงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้

(5) ถ้ายังทำอะไรๆ ก็ไม่ได้ ก็ทะเลาะกัน กดดันกันต่อไป แต่อย่าใช้ความรุนแรง รัฐควรเปิดโอกาสให้ใช้การสื่อสารของรัฐอย่างเท่าเทียมกัน ให้แต่ละฝ่ายพิสูจน์ตัวเองต่อสาธารณะว่าใช้ความจริง ใช้เหตุผล ใช้สัมมาวาจา เมื่อสาธารณะเข้ามากำกับ ความแตกต่างสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ต่างหากที่จะพาเราออกจากความติดขัดที่ยาก การปะทะของขั้วตรงข้าม ทำนองเดียวกับฟ้าผ่าจะมีการทำลายสูงและอาจก้าวไปข้างหน้าไม่ได้อีกนาน

(6) การเจรจาหาข้อยุติร่วมกันเป็นเรื่องสำคัญ ความขัดแย้งทุกชนิดยุติด้วยการเจรจา ขัดแย้งรุนแรงเท่าใดๆ ก็สามารถยุติได้ด้วยการเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน รัฐไม่พึงเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง เพราะจะเพิ่มจำนวนผู้ต่อต้านมากขึ้น ทำนอง "ตายสิบเกิดแสน" แต่ต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาดัวยสันติวิธี บุคคลและองค์กรต่างๆ ควรเข้ามาส่งเสริมการเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน

ข. เส้นทางรุนแรงนองเลือด
ถ้าหากสันติวิถีดังกล่าวข้างบนไม่มีใครปฏิบัติหรือไม่ได้ผล แล้วหลุดเข้าไปสู่การปะทะนองเลือด
กองทัพไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเข้ามาระงับยับยั้งความรุนแรง และยึดอำนาจรัฐอย่างสั้นที่สุดเพื่อสลายขั้ว แล้วนำความขึ้นกราบบังคมทูลว่าบัดนี้ระบบการเมืองสุดความสามารถในการแก้วิกฤตแล้ว เกิดสุญญากาศทางอำนาจแล้ว ขอพึ่งพระบารมี ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนกลางมีศักยภาพสูงในการยุติวิกฤตการณ์ และประสานให้ทุกฝ่ายในสังคมมาร่วมสร้างระบบอารยะประชาธิปไตย ที่ทุกฝ่ายยอมรับ และร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมไทยที่มีความเป็นธรรม เมื่อมีความเป็นธรรม ความขัดแย้งลดลง ความร่วมมือก็จะมากขึ้น ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์เป็นไปได้


ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดสิ่งดีใหม่ที่ดีสิ่งใหม่ที่ดีเป็นอย่างไรพยากรณ์ไม่ได้ เพราะเป็นสังคมที่มีคุณสมบัติใหม่โดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนสังคมเก่าๆ อย่างที่เรารู้จักกัน

วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2551

"พาวเวอร์ แพท” เผยชีวิตหลังกรงขัง กับสำนึกลูกผู้ชาย ที่จะไม่มีวันทำผิดซ้ำสอง













“แพท พาวเวอร์แพท” เสียใจ ศาลอุทธรณ์ไม่ลดโทษ ต้องติดคุก 50 ปี เท่าเดิม บอกไม่ท้อ เตรียมยื่นฎีกาขอลดโทษแล้ว เปิดใจกว่า 4 ปีที่ถูกจองจำ ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตจนแตกฉาน ยกเป็นมหา’ลัยชีวิต เผย กำลังจะจบป.ตรี จาก มสธ.เดือน ต.ค.นี้ ตัดพ้อ แอบรันทดตัวเองที่ทำได้แค่บอกรักพ่อผ่านกรงขัง ไม่มีสิทธิกอดแสดงความรัก เจ้าตัวตั้งปณิธานจะทำความดี บอกติดคุกครั้งเดียวก็เกินพอ พร้อมเชื่อมั่นว่าคงไม่จบชีวิตในคุกอย่างแน่นอน



คงยังจำกันได้สำหรับข่าวคราวของ “พาวเวอร์ แพท” หรือ “แพท วรยศ บุญทองนุ่ม” อดีตนักร้องอนาคตไกลค่ายแกรมมี่ หลังจากที่เจ้าตัวโดนตำรวจจับกุมในข้อหา “ค้ายาเสพติด” เมื่อช่วงกลางปี ’47 ที่ผ่านมา จนถูกศาลตัดสินสั่งจำคุก 50 ปี ปรับเป็นเงินอีก 1 ล้านบาท และถูกนำไปจองจำไว้ที่เรือนจำบางขวาง จ.นนทบุรี เวลาผ่านไปกว่า 4 ปี ความคืบหน้าล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ตามที่ทนายได้มีการยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษไปนั้น ศาลได้มีคำตัดสินออกมาแล้ว โดยให้ยืนตามศาลชั้นต้น นั่นหมายความว่า โทษของแพทยังสูงที่ 50 ปีเท่าเดิม



ซึ่งตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จากการที่ทีมข่าว “บันเทิงผู้จัดการ” ได้ติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแพทมาตลอด และก็มีหลายครั้งที่เราได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมและพูดคุยกับแพท โดยในครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากทราบข่าวทีมข่าวได้ติดต่อไปยังคุณพ่อ “นิวัติ บุญทองนุ่ม” เพื่อขอเข้าเยี่ยมแพทที่เรือนจำ เพื่อถามสารทุกข์สุขดิบและความเป็นอยู่ทั่วไป ซึ่งคุณพ่อก็อนุญาตและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และต้องบอกว่าภาพที่เห็นตรงหน้านั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่คือ นักโทษที่ติดคุกมานานหลายปี เพราะสภาพร่างกาย รวมไปถึงรูปร่างหน้าตานั้นดูแข็งแรงแจ่มใส หน้าตาสะอาดสะอ้านผิดจากภาพนักโทษที่คิดไว้ถนัดตา เหนือสิ่งอื่นใดแพทมีกำลังใจดีมาก ดูเข้มแข็งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก โดยแพทบอกว่า สภาพจิตใจดีขึ้น เพราะปรับตัวได้แล้ว การได้มาอยู่ข้างใน ถ้าคิดในมุมดีมันก็ทำให้ได้เรียนรู้ชีวิตหลากหลายแง่มุม แถมยังได้เรียนหนังสืออีกด้วย ส่วนในเรื่องของคดีเจ้าตัวยอมรับว่า รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ลดโทษเลยแม้แต่ปีเดียว “คำตัดสินก็ยืนตามศาลชั้นต้น คือ 50 ปี ปรับ 1 ล้านบาท ก็เสียใจนิดหน่อย แต่ทำใจไว้แล้ว เพียงแต่เราแอบมีความหวัง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ก็ต้องปล่อยชีวิตตามที่มันจะเป็นไป ตอนนี้ยื่นฎีกาขอลดโทษไปแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะไม่มีระยะเวลาแน่นอนตายตัว อย่างเพื่อนผมบางคนรอแค่ปีเดียว บางคน 3 ปี มันไม่แน่ครับ ตอนนี้ผมก็ศึกษากฎหมายในการส่งสำนวนฟ้องอยู่ ที่โทษสูงเพราะเค้าแยกฟ้อง ทั้งของที่มีอยู่บนห้อง และที่จับคามือข้างล่าง มันต่างกรรมต่างวาระ ไม่ได้ฟ้องชุดเดียวกัน โทษก็เลยถีบกันไปสองเท่า มันก็เลยลำบากหน่อย ทนายเป็นคนจัดการ คือ เอาข้อเท็จจริงมาแย้งให้ศาลเห็นข้อเท็จจริง มันมีอยู่หลายจุดที่คำให้การของเราไม่มีน้ำหนัก ทนายจะเอาตรงนั้นมาตีความแล้วส่งฟ้อง มันเป็นการกระทำผิดครั้งแรกด้วย แต่มันไม่ใช่อาชีพผม...”



“เรื่องคดีพยายามไม่คิด เพราะถ้าคิดไปก็หาบทสรุปเองไม่ได้ เหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ปล่อยให้มันเป็นไปตามขั้นตอนที่มันจะเป็น พยายามตัดเรื่องข้างนอกให้หมด และทำเวลาที่อยู่ข้างในให้ดีที่สุด มีประโยชน์ที่สุดดีกว่า อย่างเรียน งานดนตรี ซ้อมกีตาร์ ผมพยายามจะศึกษาให้มากกว่าตอนก่อนเข้ามา ตอนนี้ก็ติดต่อกับเพื่อนที่เคยเล่นกีตาร์ด้วยกัน ให้เค้าหาสื่อการสอนมาให้ เอาไว้สอนเพื่อนๆ ในนี้ นี่ก็เพิ่งมีเพื่อนใหม่มาให้สอนเพิ่มอีกหนึ่งคน ไม่รู้จะถอดใจก่อนรึเปล่า เพราะส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น มันยาก ต้องมุ่งมั่นและตั้งใจฝึกฝนจริงๆ”



“ผมใช้เวลาอยู่กับกีตาร์วันละ 5-7 ชั่วโมง ถ้าอนุญาตให้เอาขึ้นไปห้องนอนได้ ผมคงซ้อมเยอะกว่านี้ (ยิ้ม) รู้สึกว่าตัวเองกลับมาไฟแรงเหมือนตอนอายุ 14-15 แต่ไม่ได้หวังสูงขนาดที่ว่าต้องเป็นเกจินะครับ แค่อยากจะเป็นนักดนตรีที่สามารถถ่ายทอดให้ตรงจุด เพื่อให้คนที่ฟังเราเล่นยอมรับว่า เราเล่นกีตาร์ได้ดี ผมหวังตรงนี้มากกว่า จริงๆ ผมรักการเล่นดนตรีมากกว่าการร้องตั้งแต่ก่อนเป็นนักร้อง เพราะอยู่กับการเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 15 รู้สึกโชคดีที่ได้อยู่กับดนตรีกับศิลปะ มันทำให้ผมมีชีวิตในนี้อย่างไม่เครียด เวลาที่เล่นดนตรีมันทำให้ลืมความทุกข์ ลืมความท้อแท้ในโชคชะตาที่เราเป็นอยู่”



“กำลังใจส่วนใหญ่มาจากตัวเองก่อน ต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเองก่อน รองลงมาคือครอบครัว พี่ๆ เพื่อนๆ ผมมีความเชื่ออยู่ว่าจะอยู่ในนี้ไม่นาน มันคงเป็นเพียงช่วงชีวิตนึงที่ต้องเข้ามาอยู่ในนี้ ให้ผมได้ศึกษาเรียนรู้ชีวิตเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของตัวเอง พยายามมองว่าเป็นโอกาสที่ดี สอนวิธีคิด ทำให้ได้เรียนหนังสือ ได้ความรู้ได้ฝึกวาดรูปได้ซ้อมดนตรีจริงๆ จังๆ เพราะคิดอีกมุมถ้าอยู่ข้างนอกผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ก็ได้”



“ได้ในเรื่องการปรับตัว ได้เรียนรู้คนหลากหลายสถานะ แตกต่างที่มา หลายสังคม ได้เรียนรู้จากผู้คนข้างใน ทำให้ผมมองชีวิตแตกฉานขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญได้เล่นดนตรี เพราะถ้าอยู่ข้างนอกคงไม่มีเวลามากขนาดนี้ พยายามมองเรื่องทั้งหมดเป็นโอกาส อยู่ในนี้มา 4 ปีกว่า ไม่ได้อยู่อย่างทุรนทุราย ไม่ได้รู้สึกว่ามันยาวนาน กลับรู้สึกว่าวันๆ มันสั้นไปด้วยซ้ำ เพราะมีกิจกรรมให้ทำเยอะ วันๆ ไม่ได้ผ่านไปแบบทรมาน ตอนนี้ชีวิตโอเค สบายดี แต่ไม่ต้องเข้ามานะ (หัวเราะ)”



----





“ผมกำลังจะจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกสารสนเทศศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เหลือเก็บอีกตัวเดียว เดือนตุลาฯก็จบแล้ว เลือกเรียนด้านนี้ เพราะสนใจ เนื้อหาจะเกี่ยวกับข้อมูลการสื่อสารคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้ว เหตุผลที่เลือกเพราะไม่ค่อยมีคนเรียนด้วย มีคนเรียนน้อยมาก ในแดนผมมีผมเรียนอยู่คนเดียว ส่วนมากเค้าจะเรียนนิเทศฯ นิติศาสตร์ กันมากกว่า ผลสอบถือว่าดี เพราะอ่านหนังสือเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบแล้วถือว่าน้อยกว่าคนอื่น เพราะไปให้เวลากับการซ้อมดนตรี กับการแต่งเพลงซะมาก”






“ผมคิดตลอดว่า ออกไปต้องดีกว่าตอนก่อนเข้ามา ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะโดนกดดันจากสังคมภายนอกเยอะ ที่เค้ามองเราด้านลบ เข้ามาอยู่ในนี้แล้วชีวิตต้องตกต่ำลง มันทำให้ผมอยากพิสูจน์ตัวเอง ว่า คนเราสามารถกลับตัวกลับใจได้ ผมไม่ใช่คนเลว แต่จังหวะชีวิตมันพาไป เมื่อก่อนผมเข้าใจชีวิตน้อยกว่าตอนนี้ เช่นเรื่องบุญคุณ การที่มีคนมาหวังดีกับเรา แต่เขาอาจจะไม่บริสุทธิ์ใจเสมอไป โดยอาศัยจุดอ่อนของเรา ที่เราคิดว่ามันเป็นบุญคุณ อย่างคดีก็เหมือนกัน เป็นเพราะเขาเคยช่วยเรา มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการใช้ชีวิตครับ”





ต้องสกัดกั้นอารมณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของความรัก ที่ถึงแม้แพทจะยังอยู่ในวัยที่ยังคงโหยหาเรื่องนี้อยู่ แต่ด้วยเงื่อนไขชีวิตที่เป็นอยู่ทำให้แพทต้องตัดใจจากเรื่องนี้ให้ได้ เผยไปเผลอใจรักผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แต่ต้องเจ็บปวดเพราะความเป็นไปไม่ได้





“แฟนเก่า (คนที่ถูกตำรวจจับกุมในคดีเดียวกัน แต่ศาลยกฟ้องไปแล้ว) เค้าก็เคยมาเยี่ยม แต่ผมไม่อยากให้เค้ามาอีก และไม่ได้คบหากันมานานแล้ว เลิกกันตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมเป็นคนเอ่ยปากบอกเค้าเอง ว่าอย่ามาเลย เค้าก็คงเสียใจอาจจะร้องไห้ มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ผมต้องตัด ความคิดจากตัวเองด้วย จากครอบครัวด้วยเพียงแต่เค้าไม่ได้ขอ ไม่เชิงขอ แต่รู้ว่าหลายคนไม่สบายใจ อีกอย่างคือเราไม่ได้มีใจให้กันแล้วด้วย จริงๆ เค้าพยายามติดต่อเรา แต่ผมต้องใจแข็ง ไม่อย่างนั้นจะคาราคาซัง กลัวจะมีปัญหาตามมา ช่วงเวลาที่ผ่านมามันทำให้ได้นั่งทบทวนว่า มันคือความรักหรือเปล่า อาจจะเป็นความผูกพัน ที่เคยช่วยเหลือห่วงใยกัน แต่ถ้าเค้ารู้ว่าผมคิดแบบนี้คงเสียใจมาก เพียงแต่ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องเจ็บปวดอีก” “ด้วยสถานะภาพที่เป็นอยู่ ทุกอย่างต้องอยู่บนความเป็นจริง ถามว่าเรื่องความรักเป็นอีกเรื่องที่ต้องควบคุมมั้ย มันก็ใช่ อยู่ข้างในเราทำอะไรไม่ได้ ถึงรักใครเราก็ดูแลเค้าก็ไม่ได้ และเป็นไปได้ยาก ...ตอนนี้จริงๆ ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้กับน้องคนนึง เค้าเป็นเพื่อนของรุ่นน้อง มาเยี่ยมและได้พูดคุยกันแล้วรู้สึกว่าใช่ เค้ามาเติมความสดใสให้เราสดชื่น และไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้ว นี่แหละใช่ แต่ก็รู้สึกว่ามันสายไปหรือเปล่า ทำไมถึงต้องมาเกิดตอนที่เราอยู่ในนี้ แต่ผมไม่ได้หวังให้เค้ามารักตอบ เพราะมันยากมาก เพียงแต่ไม่อยากเก็บกดความรู้สึกตัวเองเอาไว้ ก็เลยบอกออกไป ซึ่งน้องเค้าก็งง...”





“ผมรู้สึกดีกับเค้า ซึ่งเขาก็รู้สึกดีที่ผมมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่ในใจเค้าจะรู้สึกยังไงผมไม่รู้ เพราะไม่อยากถาม ไม่อยากรู้คำตอบเท่าไหร่ เพราะกลัวคำตอบด้วย มันเป็นความรักที่ไม่ใช่อยากเป็นเจ้าของครอบครอง อยากเห็นเค้ามีความสุข ถ้าเค้ามีแฟนเราก็ยินดีด้วย เป็นความรักที่บริสุทธิ์ใจ ไม่มีเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง อันนี้คือสิ่งนึงที่ผมเรียนรู้ได้จากเรือนจำ ต้องอดทนไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้ใจกว้างขึ้นมีเหตุมีผล ไม่อยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเหมือนความรักสมัยวัยรุ่น มีปวดใจเป็นบางครั้งที่เขาไม่ค่อยสนใจเรา (ยิ้ม) แต่ทุกวันนี้ไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว เพราะพ่อจะด่าตลอด บอกติดอยู่ในนี้ก็เจ็บช้ำพอแล้ว คือพ่อไม่เข้าใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรแบบตอนเด็กๆ เราก็แค่อยากมีสักคนที่เขียนจดหมายมาหาทุกอาทิตย์ แค่มีคนคิดถึงให้กำลังใจก็แค่นั้นเอง กับเรื่องความรักผมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรอยู่แล้ว”





“แอบเศร้ามันก็มีบ้างเหมือนกัน รู้สึกน่าเสียดายที่ได้เจอเค้าตอนที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ไม่แน่ ถ้าเกิดเราไม่ได้มาอยู่ในนี้ ก็อาจจะไม่ได้เจอกันและไม่ได้มองเห็นสิ่งดีๆ ในตัวเค้าก็ได้ การสะกัดกั้นความรู้สึกมันยากมาก เพราะต้องตัดความเห็นแก่ตัวออกไป ตัดความเห็นแก่ตัวที่ว่ารักแต่ไม่ครอบครอง ถ้าไม่รู้จักแยกแยะ มันจะย้อนมาทำลายเราได้ พ่อรู้ด่าเลย หาเรื่องอีกแล้ว พ่อจะย้ำเตือนตลอด ว่าที่เขาหายไปนานๆ เพราะแฟนไม่ให้มาหรือเปล่า ให้ผมเจ็บปวดตอนนี้ดีกว่าวันข้างหน้าต้องทรมาน เราต้องอยู่ในนี้อีกไม่รู้กี่ปี ข้างนอกมันมีอะไรตั้งเยอะตั้งแยะ เค้าย่อมมีทางเลือก ไม่เจอกันมา 3เดือนแล้ว มันก็อยากเห็นหน้าเป็นธรรมดา อาจจะเป็นกรรมที่ผมต้องชดใช้ก็ได้ อาจจะเคยทำให้ใครต้องรอ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็จะใช้กีตาร์บำบัดความรู้สึก หรือไม่ก็วาดรูป แต่งเพลงให้เค้าเพลงที่แต่งจากน้องคนนี้มีเยอะมาก (ยิ้ม)”





เผย แอบรันทดใจที่ไม่สามารถกอดพ่อได้ แต่ก็จะบอกรักผ่านกรงขังทุกครั้งที่เจอกัน สุดห่วงเพราะพ่อก็อายุมากขึ้นทุกวัน ส่วนแม่ก็ป่วยมีโรคประจำตัว พร้อมบอก ถูกสอนให้อยู่กับความจริง ฉะนั้นถ้าไม้ได้รับการลดโทษ และต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิตก็ต้องยอมรับและอยู่ให้ได้





“พ่อมาเยี่ยมทุกวันอังคาร ส่วนวันอื่นๆ ก็จะวนๆ เวียนๆ กันมา แม่ก็จะมาได้เดือนละครั้งสองครั้ง เพราะต้องขายของและมีโรคประจำตัวด้วย ได้กอดพ่อครั้งสุดท้ายวันที่ 13 พ.ค.ตอนไปฟังผลอุทธรณ์ คือตอนนั้นยังไม่ทันคิดอะไร เพราะเพิ่งฟังคำพิพากษาเสร็จ กำลังจะลงไปห้องฝากขังด้านล่าง แล้วพ่อเค้าก็ขอกับผู้คุมว่า ขอผมกอดลูกชายหน่อย ตอนแรกผู้คุมลังเลนิดนึง เพราะมันเคยมีเรื่องซุกซ่อนยาใส่กระเป๋าเข้ามาข้างใน เค้าก็เลยไม่อยากอนุญาต แต่สุดท้ายก็ให้กอด พ่อเค้าก็บอกว่าไม่ต้องคิดมากนะ พ่อรักลูกนะ เค้าก็กอดเรา วันนั้นไม่ได้ร้องไห้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะมีบ้าง”





“พ่อบอกรักทุกครั้งที่เจอกัน กับแม่ก็เหมือนกัน เราบอกรักกันทุกครั้งที่พ่อมาเยี่ยม เมื่อก่อนจะเก็บความรู้สึก อาจจะเพราะเขิน เป็นผู้ชายด้วย แต่ตอนนี้ไม่เก็บแล้ว โอกาสแบบนี้วันนึงถ้าเสียไป จะเรียกร้องให้มันหวนคืนมาไม่ได้แล้ว และผมคงจะเสียใจมาก ตั้งแต่โตมาไม่ค่อยสนิทกับพ่อ เพิ่งจะมาสนิทกันเมื่อ 4 ปีกว่า ที่ผ่านมา หลังจากผมเข้ามาอยู่ในนี้ ทำให้เข้าใจพ่อมากขึ้น ตอนเด็กๆ เวลาที่พ่อสอนอะไรจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดหรอก ไม่ใส่ใจบ้าง แต่พอเราโต คำสอนที่พ่อบอกมันใช่หมดเลย”





“ห่วงเค้ามากแต่ไม่รู้จะทำยังไงดี มันต้องตัด หลายคนในนี้เขาตัดไม่ได้ มีความวิตกกังวล ไม่มีความสุขครุ่นคิดจนเป็นโรคจิต ที่ต้องตัดเพราะเราทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้ามัวแต่วิตกเราก็จะอยู่อย่างทรมานทุกข์ใจ พลอยทำให้คน



วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เลิกบุหรี่ 1 ซอง อิ่มท้องทั้งครอบครัว

ตราบใดที่ยังมีกลุ่มควันพวยพุ่งออกจากปลายมวนบุหรี่ ตราบนั้นหน้าที่ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพจึงไม่อาจหยุดนิ่ง ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อสร้างสรรค์ให้สังคมไทยปลอดภัยจากบุหรี่ และปลุกระดมให้ชาวไทยช่วยกันขับไล่มฤตยูร้ายคร่าชีวิต อย่างบุหรี่ให้หมดสิ้นไป โดยการจับมือกับ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ จัดงานรณรงค์ภายใต้คำขวัญ “Tobacco – Free Youth เยาวชนรุ่นใหม่ ร่วมใจ ต้านภัยบุหรี่”

การปลุกกระแสให้สังคมโลกสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดบุหรี่ และช่วยกันแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่กับเยาวชน ที่เป็นประชากรโลกที่สำคัญในอนาคต การรณรงค์ที่ชื่อว่า “เลิกบุหรี่ 1 ซอง อิ่มท้องทั้งครอบครัว” จึงเกิดขึ้นโดยการผนึกกำลังกันของ 3 ภาคหลักดังที่กล่าวข้างต้น เพื่อเรียกร้องให้คนสูบบุหรี่ทุกคนเลิกบุหรี่เพื่อครอบครัวอิ่มท้อง และเป็นการเลิกเพื่อหยุดการเผาข้าวถึง 12,400 ตันต่อวัน ทุกวันนี้วิกฤติเศรษฐกิจ ข้าวยาก หมากแพง เงินทองของคนจนมีค่าที่ต้องอดออมไว้เลี้ยงปากท้อง และใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็น

แต่...ความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมา ทำให้เหล่าภาคีถึงกับอึ้ง !!! เมื่อผลสำรวจพบว่า คนไทย “ยิ่งจน ยิ่งสูบ” ทั้งที่ในปี 2551 ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยต่อวันทั้งประเทศเท่ากับ 144 บาท ขึ้นจากปี 2535 ซึ่งมีค่าแรงเฉลี่ย 100 บาท คิดดูก็แล้วกันว่า กว่าจะได้ค่าแรงขั้นต่ำขึ้น 44 บาท ต้องใช้เวลาถึง 16 ปี และขึ้นเฉลี่ยปีละ 2.75 บาทเท่านั้น กว่าค่าแรงขั้นต่ำจะขึ้นได้แต่ละครั้ง สหภาพแรงงานและบรรดาลูกจ้างต้องต่อรองด้วยสภาพที่ยากลำบาก ลูกจ้างแรงงานอยู่ในสถานภาพที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง...แล้วเราจะเอาเงินที่กว่าจะได้มาอย่างลำบากนั้นไปซื้อบุหรี่ทำไม?...

นอกจากนี้...หากผู้สูบบุหรี่หันมาตระหนักว่าการหยุดสูบบุหรี่ 1 ซอง ก็จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 45 บาท และหากนำเงิน 45 บาทนั้นมาซื้อข้าวสารจะซื้อได้ถึง 1.5 กก. ซึ่งเพียงพอสำหรับการบริโภคในครอบครัวขนาด 3 คน ได้ 2 – 3 วัน คน ดังนั้นเพียงแค่เลิกบุหรี่ 1 ซอง คนในครอบครัวจะอิ่มท้องได้นานถึง 3 วันเชียวค่ะ...

และที่น่าตกใจไปกว่านั้น...คือการพบจำนวนคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่มีมากถึง 10.9 ล้านคน และใช้เงินซื้อบุหรี่เฉลี่ยวันละ 12 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายที่คนไทยทั้งประเทศ ซื้อบุหรี่สูงถึง 131 ล้านบาท ต่อวัน ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถซื้อข้าวสารได้ถึง 12,400 ตันต่อวัน สามารถใช้เลี้ยงคนไทยได้ถึง 24.4 ล้านคน ซึ่งหมายถึง คนกว่า 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ!!!

แหม...รู้อย่างนี้แล้วนักสูบหน้าเก่าหน้าใหม่ทั้งหลายก็ควรเก็บเงินไว้ซื้อข้าวให้ลูกเมียที่บ้านกินกันดีกว่าค่ะ จะได้อิ่มท้องกันอย่างถ้วนหน้าทั้งคุณทั้งครอบครัว เพราะบุหรี่ไม่เคยให้คุณกับใครค่ะ...เลิกบุหรี่กันเสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป.....


เรียบเรียงโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์ Team content
www.thaihealth.or.th

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Anti-Smoker funny Commercial ViRuS


Funny video about smokers :)


วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เมื่อ “เด็กผี” บุกอนุสาวรีย์

เช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ที่อนุสาวรีย์ กับบรรยากาศแบบเปียก ๆ ที่วันนี้มีบรรยากาศที่แตกต่างจากวันอื่นๆ และทำให้คนที่ต้องใช้เส้นทางอนุสาวรีย์ในวันนั้น ต้องตกใจ นั่น คือ ใครจะเห็นเด็กผี ไม่ใช่ตนเดียว แต่เป็นเด็ก ผีกลุ่มใหญ่ คำถามก็คือ “ผีกลุ่มนี้มาทำอะไรในวันฝนตก” ดูจากภาพแล้วกัน...จะได้คำตอบ....




“เด็กผี” เหล่านี้มาบอกกับผู้คนว่า...ให้รู้เท่าทัน “เล่ห์กลของบริษัทบุหรี่” เพราะเขาไม่อยากให้คุณเป็นผีในอนาคต มาดูกันชัดๆ ดีกว่าสิ่งที่เขาอยากบอกคุณมีอะไรบ้าง



“บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส จ่ายเงินจำนวน 42,500 ดอลลาร์ ให้แก่ภาพยนตร์เรื่องซุปเปอร์แมนภาค 2 เพื่อให้มีบุหรี่มาร์ลโบโรปรากฏในเรื่อง” (จากการสำรวจข้อมูลเรื่องการโฆษณาบุหรี่ในภาพยนตร์)

“เราได้รับการมอบหมายจากลูกค้าให้ออกแบบซองบุหรี่ที่ดึงดูดเด็กๆ รูปแบบซองที่ออกต้องดึงดูดตาของวัยรุ่น แต่ต้องไม่ให้ตาของฝ่ายผู้บังคับใช้กฎหมายรู้” (ฟิลิป กาเบอร์แมน หัวหน้าครีเอทีฟของโรเบิร์ต ไบรอัน แอสโซซิเอท)
“หากจะให้บริษัทเราอยู่รอดและก้าวหน้าต่อไป เราจะต้องช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดที่เป็นเยาวชนมาเป็นของเราในระยะยาว ดังนั้นเราจะต้องออกบุหรี่ยี่ห้อใหม่ๆ ให้มีรูปลักษณ์เย้ายวนใจผู้สูบบุหรี่อายน้อยๆ...” (บริษัทบุหรี่ อาร์ เจ เรย์โนลด์)



“ต้องมีความรู้ให้มากที่สุดถึงแบบแผนและทัศนคติเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ของเด็กวัยรุ่น วัยรุ่นวันนี้คือ ผู้ที่อาจจะเป็นลูกค้าประจำของเราในวันหน้า...ในช่วงวัยรุ่นนี่เองที่ผู้ริสูบบุหรี่เลือกบุหรี่ยี่ห้อแรกมาลิ้มลอง” (นายเบนเนทท์ ลีโบว บริษัทฟิลลิป มอร์ริส)

“ควรนำเสนอว่าการสูบบุหรี่เป็นกระบวนการหนึ่งในการก้าวไปสู่โลกของผู้ใหญ่ ชิ้นงานโฆษณาควรจำลองมาจากชีวิตจริงของวัยรุ่นและเชื่อมโยงบุหรี่เข้ากับกัญชา ไวน์ เบียร์ เรื่องเพศ และอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่วัยรุ่นคิดว่าเป็นพฤติกรรมประเภทเดียวกัน” (บริษัทตัวแทนโฆษณาที่ชื่อเทคเบตส์)



ท้ายนี้ขอขอบคุณเหล่า “เด็กผี” ที่ร่วมกันทำกิจกรรมดีๆ เพื่อ “คนรุ่นใหม่” ในสังคมไทย “ไม่สูบบุหรี่” ตบมือดัง ๆ ให้กับ “ไอเดีย” สร้างสรรค์ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตราชวิถี กับการบอกกล่าวสังคมว่า “บุหรี่หลอกลวงเยาวชน”


เรื่อง ชูรุณี พิชญกุลมงคล เจ้าหน้าที่ฝ่ายศูนย์ข้อมูลมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ www.ashthailand.or.th



ขอนแก่น ครองแชมป์สูบบุหรี่มากที่สุด

เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เผยมีผู้สูบบุหรี่ทั้งประเทศกว่า 9.5 ล้านคน พบ 1 ใน 3 เป็นชาวอีสาน ขณะที่คนขอนแก่นครองแชมป์ประเทศ สูบบุหรี่สูงสุดกว่า 3 แสนคน เฉลี่ยการสูบ 9 มวน/คน/วัน



ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2550 พบว่าทั้งประเทศมีอัตราผู้สูบบุหรี่มากถึง 9.5 ล้านคน โดยผู้ที่สูบบุหรี่ 1 ใน 3 หรือประมาณ 3.4 ล้านคนเป็นชาวอีสาน หรือร้อยละ 99 เป็นชาย จำนวนกว่า 3.3 ล้านคน และมีอัตราการสูบบุหรี่สูงถึงร้อยละ 40 ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศที่เท่ากับร้อยละ 36 รองลงมาคือผู้หญิงมีอัตราการสูบเพียงร้อยละ 1 หรือ 61,525 คน

นอกจากนี้ จากสถิติการวิจัยของธนาคารโลกพบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะสูบต่อไปหากไม่เลิกสูบ ซึ่ง 1 ใน 4 ของผู้ที่สูบบุหรี่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า คนภาคอีสานกว่า 8.5 แสนคนเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะใน จ.ขอนแก่น ซึ่งมีผู้สูบบุหรี่มากถึง 301,091 คน โดยมีอัตราการสูบบุหรี่เฉลี่ย 9 มวน/คน/วัน และสูญเสียเงินจากการซื้อบุหรี่เฉลี่ย 9 แสนบาท/วัน ซึ่งถือเป็นสถิติที่มากที่สุดของประเทศไทย โดยประมาณการณ์ว่ามีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ถึง 75,272 คน

"จากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้คนอีสานมาตระหนักถึงการลด ละ เลิก บุหรี่กันให้มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นจากบุคลากร อาทิ แพทย์ พยาบาล เภสัช ซึ่งเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบบุหรี่ เพราะบุคลากรเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือด้านสุขภาพ และสามารถส่งผลต่อการชักจูงให้ผู้สูบบุหรี่หันมาเลิกบุหรี่ได้มากที่สุด”

เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลก็ถือเป็นตัวอย่างของการชี้นำพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมให้กับประชาชน และเป็นศูนย์กลางในการแก้ปัญหาสุขภาพและส่งเสริมสุขภาพของประชาชน รวมทั้งในเรื่องปัญหาของบุหรี่กับสุขภาพด้วย ดังนั้นทางมูลนิธิฯ จึงได้เริ่มโครงการปลอดบุหรี่ โดยได้เลือกโรงพยาบาลเป็นสถานที่ต้นแบบ เพราะโรงพยาบาลมีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่มีสถานที่ใดสามารถรณรงค์การเลิกสูบบุหรี่ได้ตลอดเท่ากับโรงพยาบาล อีกทั้งมีบุคลากรที่น่าเชื่อถือ

"ทั้งนี้ ทางมูลนิธิฯ ได้เลือกให้โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น เป็นโรงพยาบาลปลอดบุหรี่ต้นแบบนำร่องแห่งแรกในประเทศ โดยจัดให้มีการรณรงค์เกี่ยวกับโทษที่เกิดจากบุหรี่ อีกทั้งเน้นการจัดสิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาลให้ปลอดบุหรี่อย่างจริงจัง ขณะเดียวกันโรงพยาบาลก็จะต้องจัดให้มีการบริการช่วยให้ผู้สูบบุหรี่เลิกสูบด้วย ทั้งนี้คาดว่าในอนาคตโรงพยาบาลทุกแห่งจะเป็นสถานปลอดบุหรี่" ศ.นพ.ประกิต กล่าว


ที่มา : หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหา สัมฤทธิผลทางการเรียน และเจตคติที่มีต่อบุหรี่ของนักเรียน

รายงานผลการศึกษาค้นคว้า

เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหา สัมฤทธิผลทางการเรียน และเจตคติที่มีต่อบุหรี่ของนักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่องภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es)ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ และโดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MATโดยได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

ผู้วิจัย นางสุวิมล จันทร์เปรมปรุง ครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (งานแนะแนว) โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ



ความเป็นมา/ความสำคัญ

เยาวชนจะต้องเผชิญกับสภาพการณ์ที่หลากหลายและแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ข่าวสารข้อมูลเข้าถึงผู้บริโภคอย่างประชิดตัวในทั่วทุกมุมโลก สภาพแวดล้อมรอบๆตัวผู้เรียนจึงเต็มไปด้วยความหลากหลายของค่านิยมทางสังคม ที่มีผลต่อพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งที่เป็นผลกระทบด้านบวก และด้านลบ อาทิเช่นพฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป็นค่านิยมหนึ่งที่วัยรุ่นถูกปลุกเร้าให้เกิดความสนใจในการสูบบุหรี่ตามบริบทของสังคมในชีวิตประจำวัน ซึ่งค่านิยมการสูบบุหรี่ถูกสร้างขึ้นด้วยยุทธวิธีต่างๆของผู้ประกอบการค้ายาสูบ แม้ว่าจำนวนและอัตราการสูบบุหรี่ของเยาวชนไทยที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2534-2549 เมื่อพิจารณากลุ่มเยาวชนอายุ11-14 ปี พบว่าร้อยละของการเปลี่ยนแปลงอัตราการสูบบุหรี่ ของผู้สูบครั้งคราว มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก จากปี พ.ศ.2534 กับ ปี พ.ศ.2549 คิดเป็น 300% (ศรัญญา เบญจกุล และคณะ 2550 : 4) ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเยาวชนอายุ 11-14 ปี มีแนวโน้มอยากทดลองสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น และหากไม่มีวิธีการใดๆในการสกัดกั้น เยาวชนกลุ่มนี้ก็จะเพิ่มจำนวนสูงขึ้นและกลายเป็นผู้สูบประจำในที่สุด













สำหรับนักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เมื่อสัมภาษณ์นักเรียนและประมวลถานการณ์ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ พบว่า นักเรียนส่วนหนึ่งอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ได้รับควันบุหรี่จากบุคคลใกล้ชิดในชีวิตประจำวัน และนักเรียนส่วนหนึ่งให้ความสนใจกับการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า นักเรียนควรได้รับการดูแลช่วยเหลือให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องอันตรายของควันบุหรี่ และมีทักษะการดำเนินชีวิตที่ปลอดจากควันบุหรี่ รวมทั้งรู้จักดูแลตนเองและคนใกล้ชิดให้ปลอดจากควันบุหรี่ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการสร้างสรรค์บ้านปลอดบุหรี่ โรงเรียนปลอดบุหรี่ และชุมชนปลอดบุหรี่

ผู้รายงานได้ร่วมโครงการโรงเรียนนำร่องพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนปลอดบุหรี่โดยนำแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ ไปทดลองใช้จัดการเรียนรู้ในคาบกิจกรรมแนะแนว ให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 2 ห้องเรียน และนักเรียนชุมนุมวัยใสไร้ควันบุหรี่ จำนวน 1 กลุ่ม ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2549 จำนวน 15 คาบ ผลปรากฎว่า หลังเรียนนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องบุหรี่สูงกว่าก่อนเรียน และเมื่อศึกษาผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่.2 ที่มีต่อการทดลองใช้หลักสูตรโรงเรียนปลอดบุหรี่ พบว่า นักเรียนมีความคิดเห็นระดับมากในประเด็น ความรู้ใหม่เรื่องบุหรี่ที่ได้รับจากการจัดการเรียนรู้ ( = 4.09 , S.D. = 0.68) มีความต้องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เช่นนี้ให้แก่เยาวชนคนอื่น( = 3.89, S.D. = 0.93) และการเรียนรู้เช่นนี้สามารถสร้างกระแสให้เยาวชนไม่สูบบุหรี่ ( = 3.76 , S.D. = 0.86) ในขณะเดียวกันที่ผู้เรียนมีความเห็นว่าสื่ออุปกรณ์/เอกสารการสอนมีความน่าสนใจในระดับปานกลาง ( =3.49, S.D. = 0.91) รวมทั้งผู้เรียนมีความพึงพอใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หลักสูตรโรงเรียนปลอดบุหรี่ในระดับปานกลาง ด้วยเหตุนี้ผู้รายงานจึงวางแผนปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และสร้างความพึงพอใจในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น โดยสังเกตว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผู้รายงานรับผิดชอบจัดการเรียนรู้กิจกรรมแนะแนว มักชอบอ่านหนังสือการ์ตูน และวาดภาพการ์ตูน และเมื่อสุ่มสอบถามนักเรียนกลุ่มหนึ่งพบว่านักเรียนอยากให้มีการ์ตูนในบทเรียน เพราะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้มากกว่าการอ่านตัวอักษรเพียงอย่างเดียว ผู้รายงานจึงผลิตสื่อชุดการเรียน เรื่อง ภัยบุหรี่ ที่มีบทเรียนการ์ตูน เรื่อง วายร้ายบุหรี่เป็นสื่อประกอบชนิดหนึ่ง และทำการศึกษาวิจัยในชั้นเรียน โดยศึกษาเปรียบเทียบผลของการใช้ชุดการเรียน เรื่อง ภัยบุหรี่ ที่มีบทเรียนการ์ตูน กับ ที่ไม่มีบทเรียนการ์ตูน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 พบว่า ความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่มีต่อบุหรี่ ของผู้เรียนทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบความแตกต่างอย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในเรื่องความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยใช้ชุดการเรียนที่มีบทเรียนการ์ตูนและไม่มีบทเรียนการ์ตูน กล่าวคือ นักเรียนมีความคิดเห็นว่า ชุดการเรียนที่มีบทเรียนการ์ตูนมีความน่าสนใจมากกว่า นักเรียนได้รับความสนุกสนาน และมีความพึงพอใจในสื่อบทเรียนการ์ตูนมากกว่า ( = 4.81 , S.D. = 0.40 , = 4.53 , S.D. = 0.65 และ = 4.57 , S.D. = 0.65 ตามลำดับ






จากรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ.รอบที่ 1 พบว่า โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล มีมาตรฐานด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับพอใช้ ซึ่งน้อยกว่ามาตรฐานอื่นๆ ผู้รายงานจึงพิจารณาทบทวนกระบวนการเรียนรู้ ในชุดกิจกรรม เรื่อง ภัยบุหรี่ และวางแผนพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวให้มีคุณค่าต่อผู้เรียนในด้านฝึกทักษะการคิด เพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และดึงดูดความสนใจเรียนของผู้เรียนเพื่อพัฒนาตนตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ
ผู้รายงานได้ใช้แนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism ) ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาทักษะการคิดระดับสูง เป็นแนวทางพื้นฐานในการผลิตชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ และผลิตชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้ แบบ 4 MATซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมองทั้งสองซีกอย่างสมดุล แล้วนำไปทดลองใช้ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลการพัฒนาผู้เรียน









บทคัดย่อ

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหา สัมฤทธิผลทางการเรียน เจตคติที่มีต่อบุหรี่ ความคิดเห็นที่มีต่อการเรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ ตรวจสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ และตรวจสอบประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล จำนวน 2 ห้องเรียน จำนวนห้องละ 48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่แบบวัดความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหา แบบวัดสัมฤทธิผลทางการเรียน แบบวัดเจตคติที่มีต่อบุหรี่ และแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า

1.นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ กับ นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีความสามารถด้านการคิดแก้ปัญหาแตกต่างกันอย่าง ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

2. นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ กับนักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีสัมฤทธิผลทางการเรียนแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

3. นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es)ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ กับ นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีเจตคติต่อบุหรี่แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

4. นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ กับ นักเรียนที่เรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีความคิดเห็นต่อการเรียนชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ ในด้านประโยชน์ที่นำไปใช้ บรรยากาศการเรียนรู้ และ กิจกรรมการเรียนรู้ ในระดับมาก และแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

5. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่ โดยการจัดการเรียนรู้แบบเสาะแสวงหาความรู้ (5Es) ที่สอดแทรกการฝึกคิดวิจารณญาณ มีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

6. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมแนะแนว เรื่อง ภัยบุหรี่โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4 MAT มีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้